วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เส้นผมมีปัญหาควรรับประทานอะไรดี

ใครๆ ก็อยากมีเส้นผมสลวยเงางามดูมีสุขภาพดี

เพราะเส้นผมเป็นตัวเสริมสร้างบุคลิกภาพและความมั่นใจในตัวเอง สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเส้นผม ให้ลองกินอาหารต่อไปนี้
เส้นผมมีปัญหาควรรับประทานอะไรดี

อาหารเพื่อผิวงาม ผมมีรังแค อาจเกิดจากการขาดธาตุสังกะสี ควรกิน หอยนางรม เนื้อแดง เมล็ดฟักทอง ถั่วเมล็ดแห้ง ปลากะพง ปลาสำลี ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาดุก ปลาซาร์ดีน

อาหารเพื่อผิวงาม ผมร่วง เพราะขาดวิตามินเอ ควรกิน ข้าวกล้อง ปลาที่มีไขมันมาก ถั่ว ไข่ นม โยเกิร์ต

อาหารเพื่อผิวงาม ผมกระด้าง เพราะขาดวิตามินบี ควรกิน ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม

อาหารเพื่อผิวงาม ผมเปราะแตกหักง่าย เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ควรกิน งา ปลาทูน่า เนื้อวัว ตับ

อาหารเพื่อผิวงาม ผมเสียมาก เพราะขาดธาตุสังกะสีและทองแดง ควรกิน ตับวัว หอยนางรม ปลาซาร์ดีน เห็ด ถั่วลิสง ลูกพรุน ปู กุ้งมังกร จมูกข้าวสาลี เนื้อซี่โครงหมู ปลาซาร์ดีน

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องกินจมูกข้าว

จมูกข้าว คือ ส่วนที่สมบูรณ์ที่สุดของข้าว

มีรสชาติอร่อย นอกจากคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นอาหารหลัก ของข้าว จมูกข้าวยังมี วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย

ทำไมต้องกินจมูกข้าว

วิตามิน B2 ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบประสาท และโรคปากนกกระจอก
วิตามิน B3 หรือไนอะซิน ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต

วิตามินรวม ป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ รวมถึงโรคผิวหนังและบำรุงสมอง
แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และป้องกันการเกิดตระคริว

ฟอสฟอรัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
เส้นใยอาหาร ช่วย ให้ระบบการย่อยอาหาร ทำงาน ได้ปกติ ป้องกันโรคท้องผูก โรคอ้วน โรคผนังลำไส้โป่งพอง โรคเบาหวาน โรคริดสีดวง โรคหัวใจขาดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเป็น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคความดันโลหิตสูง และความผิดปกติอื่นๆของร่างกาย
ธาตุเหล็ก ช่วยสร้างเม็ดเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง และช่วยสร้างการพัฒนาการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น

รู้อย่างนี้แล้วต้องรีบหาจมูกข้าวมารับประทานกันซะแล้ว

Credit : thaihealthcare.com

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ว่านกาบหอย แก้ไอ คลายช้ำ

"ว่านกาบหอย" บางท้องถิ่นอาจจะเรียกว่าว่านหอยแครง
ว่านกาบหอยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกากลาง ปลายใบแหลม แตกออกจากลำต้นติดพื้นดินเป็นวงโดยรอบ ใบด้านบนสีเขียว ส่วนด้านล่างเป็นสีม่วงแดง ดอกออกจากโคนใบเป็นช่อสีขาว มีใบประดับเป็นกระเป๋าสีม่วงแดงหุ้มอยู่ ผลเป็นรูปกระสวย
ว่านกาบหอย

สรรพคุณ
แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ แก้ไอ อาเจียนเป็นเลือด แก้ฟกช้ำภายใน เนื่องจากพลัดตกจากที่สูง หกล้ม หรือถูกของแข็ง แก้บิดถ่ายเป็นเลือด แก้ปัสสาวะเป็นเลือด โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาคือใบและดอก โดยใบอาจจะใช้ใบสดหรือใบแห้งก็ได้
สำหรับดอกนั้นให้เก็บเมื่อดอกโตเต็มที่ ใช้รักษาอาการไอ อาจจะเป็นไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะปนเลือดเล็กน้อย หรือไอเป็นเลือด แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้เลือดกำเดาไหล แก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้บิดที่ถ่ายเป็นเลือด และยังใช้เป็นยาห้ามเลือดเมื่อมีบาดแผลได้

วิธีการใช้
อาการฟกช้ำภายนอกให้ใช้ใบสดมาล้างให้สะอาด นำไปตำและพอกหรือทาบริเวณที่เป็นรอยฟกช้ำ ทาบ่อยๆจนกว่าอาการจะดีขึ้นสำหรับดอกนั้น มีรสชุ่มเย็น ใช้ต้มเป็นแกงจืดรับประทาน ได้รสชาติที่อร่อยไปอีกแบบ นอกจากนั้นยังสามารถนำดอกหนัก 30 - 60 กรัม หรือดอก 10 - 15 กรัม (20 - 30 ดอก) ต้มเอาน้ำได้มาดื่ม อาจจะเติมน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อปรุงแต่งรสชาติ

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใบบัวบก ดับร้อน แก้อ่อนเพลีย ช่วยผ่อนคลาย

บรรยากาศและสถานการณ์เช่นนี้ ชวนคุณมาดับร้อนด้วยใบบัวบกกัน

ใบบัวบกแก้ อาการช้ำใน ช้ำใจ ดับร้อนดับพิษ อาการร้อนในใบบัวบกช่วยได้หมด ภูมิปัญญาตะวันออกท่านว่าให้กินยาเย็นอย่างบัวบก ใครที่ร้อนในมาก ๆ ลองดื่มน้ำบัวบกเข้าไปสักวันสองวัน เมื่ออาการดีขึ้นแล้วให้หยุดกิน เพราะความที่เป็นยาเย็นจัด จะไปทำให้ร่างกาย เสียสมดุลได้เหมือนกัน




นอก จากร้อนในแล้ว ร้อนนอกหรือตัวร้อน รู้สึกกระวนกระวายกระหายน้ำ ให้ใช้บัวบกทั้งก้านและใบตำให้พอแหลก ผสมน้ำซาวข้าวพอให้ยาเหลว แล้วเอามาทาตัว หน้าผาก หัว และข้อพับ หลังจากใช้แล้วอาการจะค่อยทุเลา ตัวเย็นลงได้

นอกจากนี้บัวบกยังดับพิษร้อนของผิวหนังที่เกิดจากอาการแสบ ๆ คัน ๆ ที่ผิวหนังได้ด้วย คน ไทยใช้ภูมิปัญญา ดองใบบัวบกกับเหล้า ทิ้งไว้ 7 วัน เอาน้ำยามาทาวันละ 3 ครั้ง แต่ที่ญี่ปุ่น บัวบกแก้โรคผิวหนังเรื้อรังได้ดี โรคที่ว่านี้ ต่างจากโรคผิวหนังอื่น ๆ คือไม่ได้เกิดจากเชื้อรา แต่จะมาจากผิวหนังถูกผงซักฟอก สารเคมี กรด ด่าง หรือพืช และแมลงบางชนิดที่มีฤทธิ์กัดผิวหนัง จนเป็นผื่นแดงปวดแสบปวดร้อนและคัน ถ้าเป็นมาก จะมีเม็ดพอง มีน้ำเหลืองไหล

ใบบัวบก ดับร้อน แก้อ่อนเพลีย ช่วยผ่อนคลาย

ที่ญี่ปุ่นเขารักษาง่ายๆ ด้วยการใช้บัวบกทั้งต้นและรากล้างน้ำสะอาด แล้วต้มกับน้ำนานครึ่งชั่วโมง จากนั้น ใช้น้ำยาล้างผิวหนัง วันละ 2-3 ครั้ง ล้างครั้งหนึ่งนาน 10-15 นาที ที่อินเดียก็ใช้เหมือนกัน และยังใช้กับโรคผิวหนังเรื้อรังหายยากอื่น ๆ ด้วย


เรื่องร้อน ๆ ก็มักจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ซึ่งที่มาของความอ่อนเพลีย พูดให้วกวนก็จะมาจากความร้อน อีกนั้นแหละ เช่น คนที่ร้อนในมาก ๆ นอกจากปากเป็นแผลแล้ว นัยน์ตาร้อนผ่าวจนตาแฉะก็มี ริมฝีปากแห้ง เรี่ยวแรงหายหมด แบบนี้ได้บัวบกสักหนึ่งดริ้งค์ จะทำให้ชุ่มชื่นใจหายเพลียไปมาก หรือหมดแรง เพราะตรากตรำ ทำงานหนักอดหลับอดนอน ถ้าได้ซดน้ำใบบัวบกบ้างจะทำให้เพิ่มกำลังและสร้างความสดชื่นได้ดี


บัวบกยังเป็นที่ยอมรับในแง่ของเป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ หรือเรียกว่ายาอายุวัฒนะ และยังมีชื่อเสียง ด้านบำรุงสมอง จนขณะนี้บริษัทฝรั่งนำไปทำเป็นอาหารเสริมบำรุงสมองกันมากมาย ในตำราอินเดียบอกว่า ถ้าได้กินใบบัวบก แค่วันละ 1-2 ใบ เป็นประจำทุกวัน ช่วยทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส ช่วยให้ความจำดีขึ้น บำรุงประสาทและบำรุงเลือด คนอินเดียบางแคว้น นิยมกินผงบัวบกกับนมสดจนเป็นนิสัย ถือว่าเป็นยาบำรุงร่างกายและบำรุงสมอง


สำหรับเมดอินไทยแลนด์ ตำรายาไทยพูดถึงการใช้บัวบกเป็นยาอายุวัฒนะ โดยใช้ผงบัวบก 2 ส่วน ผสมผงพริกไทย 1 ส่วน ละลายน้ำร้อนกินก่อนนอน กินครั้งละครึ่งช้อนชา ไม่ควรกินปริมาณมากกว่านี้ เพราะบัวบกเป็นยาเย็นจัด


ส่วนทางด้านโภชนบำบัด บัวบกเป็นพืชที่บำรุงสมองมาก ในบัวบก 1 ขีด หรือประมาณ 2-3 ขยุ้มมือ มีวิตามินบี 1 สูงถึง 0.24 มิลลิกรัม แต่ผักอื่น ๆ ในปริมาณเท่ากันมีน้อยกว่า เช่น กะหล่ำปลีมีแค่ 0.04 มิลลิกรัม คะน้ามี 0.05 มิลลิกรัม นอกจากนั้น บัวบกยังมีเบต้า-แคโรทีนอยู่สูงด้วย ร้อนนี้ ถ้าต้องการร่างกายที่สงบเย็น และสมอง หัวใจที่สดชื่นมีพลัง ในการดำเนินกิจกรรมทุกอย่าง อย่าลืม บัวบก ผักพื้นบ้านของเรา

Credit : http://www.thai-healthcare.com/

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความเข้าใจที่ผิดในการดูแลสุขภาพ

พูดถึงสุขภาพ ใครๆก็ รักสุขภาพ กันทั้งนั้น แต่ครั้นถึงเรื่องราวของการเอาใจใส่สุขภาพนี่ซิ บางทีก็หลงไปกับบางกรรมวิธี ซึ่งแทนที่จะให้คุณ กลับให้โทษ หรือทำให้เสื่อมสุขภาพลงกว่าเดิม

กับดักสุขภาพประการที่ 1 ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี

คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า ให้ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี หลายคนถึงกับดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร บางคนก็ร่ำลือกันว่า หมอจีนสอนให้ตื่นนอนเช้าดื่มน้ำทันที 4 แก้ว เพราะช่วยให้ขับถ่ายดี ก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้ามีประโยชน์ขนาดนั้น ตลอดทั้งวันก็ควรดื่มให้มากที่สุด จนเรียกได้ว่า แค่นดื่ม กันเลยละ พวกเขาดื่มน้ำอย่างไม่จำกัดจำนวน เพราะเชื่อว่าจะได้สุขภาพดี

คนที่ดื่มน้ำมากเช่นนี้ นานเข้าจะเกิดอาการขึ้นอย่างหนึ่ง คือ เกิดอาการปัสสาวะมาก ปัสสาวะใส มือเท้าเย็น หนาวง่าย นานเข้าจะเกิดภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

เหตุผลก็คือ ไตมิใช่เพียงท่อกลวงๆที่ปล่อยให้น้ำผ่านไปเฉยๆ แต่ไตมีหน้าที่เก็บรับเอาสิ่งที่ยังเป็นประโยชน์กับร่างกาย ที่ปัสสาวะชะผ่านไป ให้เก็บกลับเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่เกลือแร่ชนิดต่างๆ ไตยังทำหน้าที่ปรับความเข้มข้นของปัสสาวะให้พอเหมาะ ด้วยเหตุนี้การปล่อยน้ำผ่านไตมากๆ ไตจึงต้องทำงานหนัก เสียพลังในการทำงานเยอะ นานเข้าก็เกิดอาการอย่างที่หมอจีนเรียกว่า พร่องพลังไต

เปรียบเทียบง่ายๆว่า เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง ที่ปล่อยให้ฝนตกกระหน่ำเอาๆ ฝนย่อมชะเอาฮิวมัสหรือปุ๋ยธรรมชาติที่อยู่บนผิวดินออกไปกับน้ำเสียหมด นานๆเข้า เขาลูกนั้นก็กลายเป็นเขาหัวโล้น

แท้ที่จริงวิชาสุขศึกษาบอกว่าดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่ตามปกติเรามีน้ำในมื้ออาหารอยู่แล้ว ถ้าจะหักลบน้ำที่ดื่มในมื้ออาหารออก คนเราก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 4 แก้ว สำหรับคนที่พร่องพลังไตอยู่แล้ว ก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 แก้ว จึงจะแก้สถานการณ์ได้

ส่วนการที่หมอจีนบอกว่าให้ดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้านั้น แท้ที่จริงเพื่อช่วยให้ขับถ่าย เพราะเถ้าแก่ทั้งหลาย กินแต่ข้าวขาว กินหมูกินไก่ ผักไม่ค่อยกิน เพราะถือว่าผักเป็นอาหารของคนจน หมอจีนจึงใช้วิธีนี้สอนคนท้องผูก แต่ถ้าเรากินข้าวกล้อง ผักผลไม้มากพอ ก็ไม่จำเป็นต้องแค่นดื่มน้ำเช่นนั้น

กับดักสุขภาพประการที่ 2 นอนดึก ตื่นสาย

คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนอนแม้จะจำเป็น แต่ดึกๆมักมีเรื่องน่าดูในจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็บนจอคอมพิวเตอร์ เลยตากสายตาดูโทรทัศน์ดึกๆ วัยรุ่นเล่นคอมฯ แช็ตกันเพลินจน 5 ทุ่ม สองยาม แล้วเข้านอน กะว่าตื่นเอาสายๆก็ทดแทนจำนวนชั่วโมงการนอนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องรีบไปเรียนหนังสือแต่เช้า หรือวัยทำงานที่ต้องแข่งขันเบียดแทรกตัวเองไปทำงานแต่เช้ามืด

ด้วยเหตุนี้ คนนอนดึก ตื่นเช้ามืด จำนวนชั่วโมงการนอนก็ไม่พออยู่แล้ว สุขภาพย่อมเสียสุดๆ ส่วน คนนอนดึกตื่นสาย ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดี นานเข้าสุขภาพก็เสื่อมสุดๆอีกเหมือนกัน

เหตุผลเพราะ แท้ที่จริงสัตว์ต่างๆล้วนมีโครงสร้างของสรีระร่างกายที่กำหนดว่า สัตว์นั้นเป็นสัตว์กลางวัน หรือสัตว์กลางคืน อย่างค้างคาว นกฮูก แมวเหมียว ต้องถือเป็นสัตว์กลางคืน เพราะมีเรดาร์ มีตาโต เอาไว้ใช้งานตอนกลางคืน แต่คนเราต้องสังกัดเป็นสัตว์กลางวัน

เดิมทีเดียวสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกของโลกคือตัวซาลาแมนเดอร์มีตาอยู่ 3 ดวง ตาดวงที่สามเป็นเกล็ดอยู่ตรงกลางหน้าผาก คอยทำหน้าที่รับแสงตะวัน เวลากลางวันแสงสว่างจะทำให้เกล็ดนี้สร้างฮอร์โมนซีโรโตนิน ทำให้มันแจ่มใสออกมาหากิน เวลากลางคืนเกล็ดนี้จะสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ทำให้มันง่วงเหงา เข้ารูนอน ครั้นวิวัฒนาการจนมาเป็นคน เกล็ดนี้จมลึกเข้าไปในหน้าผาก กลายเป็นต่อมเหนือสมอง หรือ ต่อมไพเนียล ยังคงสร้างฮอร์โมน 2 ชนิดนี้สลับกันอยู่ หรือเรียกอีกที ต่อมนี้คือนาฬิกาชีวภาพที่ปลุกเราให้ตื่นเช้า และกล่อมเราให้เข้านอนโดยอัตโนมัติ

การตากแสงไฟดึกๆจึงเป็นการรบกวนต่อมไพเนียลซึ่งเป็นนายเหนือต่อมฮอร์โมนทั่ว ร่างกาย มันส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมอง ไปไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะ ถ้าต่อมไพเนียลทำงานผิดเพี้ยน ฮอร์โมนทั่วร่างกายก็ผิดเพี้ยนไปด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งของหมอลลิตา สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ซึ่งอาจารย์ร็อกกี้เฟลเลอร์จูงใจให้ทำ ทดลองให้ส่องไฟให้หนูทดลองตลอดคืน ทำอยู่เช่นนั้นหลายๆวัน ปรากฏว่าหนูทดลองถึงกับแท้งลูก นี่แสดงถึงความสำคัญของต่อมไพเนียลซึ่งถึงกับสร้างความแปรปรวนของระบบ ฮอร์โมนในร่างกาย เพียงเพราะว่าแสงไฟที่สาดส่องให้อย่างไม่เป็นเวลา

งานวิจัยอีกชิ้นในสหรัฐฯทดลองในพยาบาลเวรดึก กลุ่มหนึ่งให้ออกเวรแล้วเดินผ่านอุโมงค์มืดๆไปเข้านอน อีกกลุ่มให้เดินผ่านแสงตะวันยามเช้า ไปเข้านอน เมื่อเจาะเลือดเปรียบเทียบระดับฮอร์โมนของร่างกาย พบว่าพยาบาลกลุ่มหลังฮอร์โมนแปรปรวนไปหมด ขณะที่กลุ่มแรกฮอร์โมนยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ นี่ก็อิทธิพลของแสงตะวันที่เจ้าตัวรับเข้าไปผิดเวลา แท้ที่จริงแล้ว คนเราจึงควรนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า แทนที่จะตากแสงไฟอยู่จนดึกๆ


กับดักสุขภาพประการที่ 3 กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่ แต่ไพล่ไปดื่มนม

นิตยสาร Time ในอเมริกาตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 1999 บอกว่า 'Cholesterol-Good News' ยืนยันว่า โคเลสเตอรอลในเลือดของคนเรา สร้างจากภายในตัวเราเองถึง 90% มีเพียง 10% ที่เป็นผลกระทบจากโคเลสเตอรอลในอาหาร และวัตถุดิบที่สร้างโคเลสเตอรอลคือกรดไขมันอิ่มตัว ดังนั้นไข่ซึ่งเป็นแหล่งของโคเลสเตอรอลจึงได้รับการถอดออกจาก Black list ทางโภชนาการที่อเมริกา

แต่ตรงกันข้าม แหล่งของกรดไขมันอิ่มตัวหลายอย่างได้รับการบรรจุให้กลายเป็นตัวที่ถูกเพ่ง เล็งทางสุขภาพ ตัวสำคัญได้แก่ นม เนย ชีส รวมทั้ง peanut butter ผลยืนยันได้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริง ดังจะเห็นว่า ประเทศไทยซึ่งถูกประโคมให้กลัวไข่กันมามากกว่า 10 ปี จนปัจจุบันคนไทยกินไข่เพียง 130 ฟอง/คน/ปี แต่คนไทยดื่มนมกันไม่อั้น เพราะถูกประโคมข่าวว่ายิ่งดื่มนมยิ่งสุขภาพดี ผลปรากฏว่าคนไทยมีโรคไขมันเลือดสูงมากขึ้นๆทุกปี รวมทั้งโรคอ้วนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไทยมีโรคไขมันเลือดสูง 50% ของประชากรในเมือง แม้แต่เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี พูดง่ายๆว่าอยู่ในวัยอนุบาลก็มีไขมันเลือดสูง 25% ของประชากร เด็กเหล่านี้ยังไม่ได้กินอย่างอื่นแน่ แต่ถูกป้อนให้ดื่มนมไม่อั้น

มาดูอย่างประเทศจีนบ้าง จีนกินไข่มากกว่าเรา คือ 330 ฟอง/คน/ปี กินไข่มากกว่าเรา 3 แต่คนจีนมีโรคไขมันเลือดสูงต่ำกว่าคนไทย การดื่มนมจึงเป็นกับดักสุขภาพที่ต้องละเลี่ยง

ที่สนุกไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันทั่วโลกในประเทศที่มีการศึกษาสูง กำลังหันมาส่งเสริมการบริโภคไข่ ลดละการดื่มนม ที่เบลเยี่ยมมีประดิษฐกรรมใหม่ เขาสร้างไข่ชนิดใหม่ เรียกว่า ไข่โคลัมบัส ไม่ใช่ไข่ของคนที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสหรอกนะครับ แต่เป็นไข่ที่นอกจากกินแล้วโคเลสเตอรอลไม่สูง (ซึ่งไข่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น) แต่ไข่โคลัมบัสใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ด้วยอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเขาถือว่าอาหารพื้นบ้านจะมีสัดส่วนของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ เมื่อมาเลี้ยงไก่ด้วยวิธีนี้ จะทำให้ไขมันจำเป็นในร่างกายถูกต้องไปด้วย เป็นผลให้กินไข่โคลัมบัสควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก

จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอดกินไข่ ยกเว้นแต่ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว มีนิสัยชอบกินนม กินเนย ก็ขอแนะนำให้งดเนย งดนม กินไข่อย่างเดียวโคเลสเตอรอลจะไม่สูงอย่างแน่นอน

กับดับสุขภาพ ประการที่ 4 ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน

เราถูกรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการกินไขมัน เพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันเลือดสูง จนคนจำนวนหนึ่งกลัวไขมันเกินกว่าเหตุ ตนเองยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ป่วยเจ็บเป็นโรคอะไร แต่ไม่กินไขมันเลย เป็นเวลาหลายๆปี จนกลายเป็นภาวะพร่องไขมัน แท้ที่จริงเราต้องรู้ว่า ไขมันเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ในร่างกายของเรามีไขมันอยู่ 3 ชนิดใหญ่ๆ หนึ่งคือโคเลสเตอรอล สองคือไตรกลีเซอไรด์ และสามคือฟอสโฟไลปิด เราใช้โคเลสเตอรอลเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างฮอร์โมนเพศกับฮอร์โมนคอร์ติโซล

ส่วนไตรกลีเซอไรด์เป็นแอ่งพลังงานในกระแสเลือด เพื่อหนุนช่วยน้ำตาลในเลือด ส่วนฟอสโฟไลปิดเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเซลล์ประสาท ฯลฯ

จึงเห็นการหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน จนถึงกับไม่กินเลย ทั้งๆที่สุขภาพเป็นปกติอยู่นั้น นานๆเข้าก็จะเกิดโรค จะยกตัวอย่างกรณีสุดขั้วกรณีหนึ่ง ผมเคยพบนิสิตมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เดินเข้ามาหาผมด้วยน้ำหนักตัว 35 กก. จินตนาการเหมือนกับไม้แขวนเสื้อลอยมา อย่างนั้นแหละ แต่เธอเข้ามาหาผม พร้อมกับบอกว่า 'หนูต้องการลดน้ำหนักค่ะ'

เธอมีความคิดว่าน้ำหนักตัวขนาดนั้นของเธอยังไม่เป็นที่พอใจ บอกว่าอยากให้หุ่นผอมเพรียวเหมือนสาวที่เดินบนแค็ตวอล์ก ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กินน้ำมันทุกชนิด ผมมองปราดเดียวที่ใบหน้าและผิวพรรณของเธอก็บอกได้เลยว่า เธอกำลังป่วยด้วยภาวะพร่องไขมัน คือผิวแห้งและหน้าตาหม่นหมองมาก ถามประวัติอีกหน่อยก็พบว่า ผมเธอร่วงเป็นประจำ และที่สำคัญก็คือ เธอขาดประจำเดือนมาได้กว่าปีแล้ว

นั่นเป็นเพราะว่า ภาวะที่พร่องไขมัน ร่างกายก็ขาดวัตถุดิบไปสร้างฮอร์โมนเพศ ทั้งสำหรับสุขภาพของผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย น่าเสียดายว่า ความเข้าใจผิดๆประการนี้ ทำให้แม้กระทั่งนิสิตปีสี่ของมหาวิทยาลัยอย่างเธอต้องหลงผิดไปตามแสงสีของ แฟชั่น คิดดูก็น่าใจหาย

ผมนึกถึงกฎแห่งการอยู่รอดของดาร์วิน ที่บอกถึงการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ สัตว์ใดแข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ สัตว์ใดที่อ่อนแอกว่าก็สูญพันธุ์ไปในที่สุด สังคมมนุษย์ก็คงเช่นเดียวกัน คนใดฉลาดกว่ารู้จักแสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง และดำเนินชีวิตที่ชอบที่ควรก็อยู่รอด แต่คนใดไม่ฉลาดหาความรู้ หรือหลงไปในทางอวิชชา สุดท้ายก็ทำลายสุขภาพตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจหมดโอกาสสืบพันธุ์อีกด้วย อย่างกรณีขาดประจำเดือนของสาวหลงรายนี้ ธรรมชาติก็คงบอกว่า 'สาวน้อย เธอจงอย่ามีประจำเดือน และอย่าสืบสกุลมีลูกมีหลานเถอะนะ' นี่คือการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติตามกฎของดาร์วินอีกเหมือนกัน

มีกรณีตัวอย่างขนาดเบาๆอีกตัวอย่างหนึ่ง คือพี่สาวของผมเอง ซึ่งไปได้ตำแหน่งงานดีๆ ที่วิทยุแห่งชาติ นครปักกิ่ง ประเทศจีนโน่น เธอเป็นผู้รักสุขภาพเช่นเดียวกัน และมักจะดูแลตัวเองและสามีเรื่องระดับโคเลสเตอรอลในเลือดด้วยเหมือนกัน เธอกินข้าวกล้อง กินผัก กินปลาและกินผลไม้สม่ำเสมอ เมื่ออยู่เมืองไทย เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบกินไขมัน

เมื่อไปอยู่ปักกิ่ง เธอก็ยังคงควบคุมอาหารเหมือนเมื่ออยู่เมืองไทย เธอสู้อุตส่าห์หาข้าวกล้องที่เมืองจีนมาหุงกินเป็นประจำ นับเป็นการแสวงหาที่ยากลำบากมาก เพราะคนจีนยังไม่ตื่นตัวเรื่องกินข้าวกล้อง แต่สามีเธอก็สู้อุตส่าห์หามาให้ครอบครัวได้กินกันจนได้

สิ่งที่เธอกังวลก็คือ อาหารปักกิ่งล้วนแต่เป็นอาหารมันๆทั้งนั้น ซึ่งขัดกับนิสัยการคุมไขมันของเธอ เธอจึงพยายามกินอาหารปักกิ่งให้น้อยที่สุด ตื่นเช้าต้มข้าวต้มกินกับกับข้าวง่ายๆ ตอนเที่ยงจำต้องกินอาหารจีน แต่พอตกเย็น บ่อยครั้งที่เธอจะไม่กินข้าว จะกินแต่ผลไม้แทน ผลปรากฏว่า เมื่อตกเข้าหน้าหนาว เธอมีอาการหนาวจนแทบจะทนไม่ไหว และก็ไม่ค่อยรู้สึกสดชื่นเหมือนเดิม พอดีผมไปเยี่ยมเธอที่ปักกิ่ง และกินอาหารอยู่ในบ้านด้วยกัน ก็เป็นอันถึงบางอ้อ เพราะแท้ที่จริงเธอคุมน้ำมันจนสุดขั้วเกินไปนั่นเอง

ธรรมชาติบำบัดจะบอกว่า 'กินอยู่ตามวัฒนธรรมพื้นบ้าน' ผู้คนในเมืองไหนๆ จะมีประเพณีการกินอยู่ตามวัฒนธรรมของตัวเอง การที่ผู้รักสุขภาพอย่างเธอ ไปอยู่เมืองจีนซึ่งมีอากาศหนาวกว่าบ้านเรามากนัก แล้วฝืนตัวเอง ไม่กินอาหารมันๆ ก็ย่อมพร่องแคลอรี จนเสี่ยงที่จะเกิดเจ็บป่วยได้นั่นเอง สำหรับคนไทยอยู่เมืองไทยอย่างเรา หลักปฏิบัติง่ายๆในเรื่องไขมันก็คือ กินอาหารแต่ละมื้อให้มีอาหารจานที่มีไขมันสัก 1 อย่าง เช่น มีผัดผัก มีไข่เจียว มีไก่ทอด จานใดจานหนึ่งในแต่ละมื้อ นั่นคือทางสายกลางที่เลือกเดินได้

กับดักสุขภาพ ประการที่ 5 กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง

ผลไม้น่ะ ดี เพราะเป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และถ้ากินสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ช่วยจรรโลงสุขภาพได้ อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกย่อมมี 2 ด้านอยู่เสมอ ผลไม้ทุกชนิดมีรสหวาน จึงเป็นแหล่งที่มาของน้ำตาลในเลือดชัดๆอยู่แล้ว และคนที่เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยยา หมออาจจะอนุโลมให้กินผลไม้ โดยแบ่งกินทีละไม่เกินผลไม้ 2-3 กลีบเป็นต้น แต่สำหรับสูตรรักษาเบาหวาน-กินเนื้อกินผักแบบบัลวี เราก็ไม่ให้กินผลไม้เลย ซึ่งจะคุมเบาหวานลดลงได้เร็วมาก ภายใน 10 วัน

ทีนี้สำหรับคนทั่วไป ผลไม้ย่อมกินได้อย่างเป็นทางสายกลาง แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินผลไม้อย่างสุดขั้ว แล้วเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้

ประการหนึ่ง คนที่กินผลไม้หวานจัด เช่นทุเรียน ขนุน ลำไย เหล่านี้มักจะเกิดอาการร้อนในได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีแมกโครไบโอติกส์ ซึ่งบอกว่า ผลไม้เป็นสุดขั้วของพลังหยิน กล่าวคือในประเทศเขตร้อน พลังหยางมีมาก ต้นไม้จึงเอาพลังหยินของมันมุดลงดิน แล้วไปผลิออกเป็นผลไม้ หล่อเลี้ยงธรรมชาติด้วยสุดยอดพลังหยินของมัน คน สัตว์กินผลไม้หน้าร้อนก็ชื่นใจ แต่ถ้ากินมากเกินไป พลังหยินที่รับเข้าไปมาก จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางสุดขั้ว จึงเกิดอาการเจ็บคอร้อนในได้ แมกโครไบโอติกส์ชนิดสุดโต่งจึงไม่แนะนำให้กินผลไม้เมืองร้อนเลย แต่ผมมักจะแนะนำว่า เราอยู่เมืองร้อน ย่อมกินได้อย่างทางสายกลาง

ประการที่สอง บางคน กินผลไม้เพราะต้องการคุมอาหารมื้อเย็น คือไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กินผลไม้โดยหวังที่จะลดน้ำหนัก หรือลดไขมันเลือด ผลก็คือ น้ำหนักตัวยิ่งขึ้น ไขมันเลือดยิ่งไม่ลด เหตุผลก็คือ ผลไม้มีความหวาน เมื่อกินแทนข้าว เจ้าตัวก็หลงกินไม่บันยะบันยัง จึงเพิ่มน้ำตาลในเลือด และถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันในเลือด คนกินหวานทุกชนิดก็เสี่ยงต่อไตรกลีเซอไรด์สูง และไตรกลีเซอไรด์มีมาก ก็ถูกเก็บไว้ที่แก้มก้น และพุงกระทิได้ จึงไม่แคล้วอ้วนอยู่ดี

กับดักสุขภาพประการที่ 6 ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ

ผมจำได้ว่าเมื่อบริษัทวิตามินจากออสเตรเลียจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นเภสัชกร ที่เป็นตัวแทน ของบริษัทวิตามินนี้ให้ช่วยเผยแพร่ความคิดเรื่องวิตามินให้แก่ ผู้บริโภค

ขณะนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักประโยชน์ของการกินวิตามิน ยังไม่รู้จักคำว่า free radicals และไม่รู้จักคำว่า anti-oxidant แม้ว่าความรู้ทางธรรมชาติบำบัดในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียจะมีเรื่องราวเหล่านี้มากมายแล้วก็ตาม เพราะขณะนั้นช่วงห่างระหว่างความรู้ในประเทศตะวันตกกับประเทศไทย จะล่าช้ากว่ากันประมาณ 10 กว่าปี
ความรู้การแพทย์แบบแผนรู้จักวิตามินในฐานะสารตัวเล็กๆ ที่ช่วยป้องกันตาบอดกลางคืน รักษาเหน็บชา ป้องกันลักปิดลักเปิด ซึ่งนับวันโรคเหล่านี้จะหมดไป เมื่อผู้คนในสังคมอยู่ดีกินดีกันมากขึ้น แต่ไม่รู้จักบทบาทใหม่ของวิตามินในอีกด้านหนึ่ง จำได้ว่าขณะนั้นผมเขียนบทความธรรมชาติบำบัดในมติชนสุดสัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี 2534 จึงได้แนะนำเรื่องของสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคำบัญญัติใหม่โดย ศ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิตามินก็มีบทบาทเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ มีความรู้เหล่านี้พิมพ์เผยแพร่เป็นพ็อกเก็ตบุ้กโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ และจัดเสวนาสุขภาพเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดบรรยายเรื่องราว ทางสุขภาพให้ผู้คนมาร่วมกันฟัง เป็นจำนวนมาก ๆ และเป็นที่มาของมหกรรมสุขภาพในขอบเขตต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีกันอยู่ในยุค ปัจจุบันนี้ และรวมทรรศน์ก็ได้จักมหกรรมธรรมชาติบำบัดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ 13 ปี

การบรรยายความรู้เรื่องวิตามินในฐานะแอนติออกซิแดนต์ ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องโรคเสื่อมของร่างกาย และหันมาสนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะแนวคิดของผมก็คือ วิตามินมีอยู่แล้วในพืชผัก ผลไม้ การจะป้องกันรักษาโรคหัวใจหลอดเลือด กระทั่งโรคมะเร็ง ก่อนอื่นให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมากินอยู่อย่างไทยเสียก่อน ส่วนวิตามินที่กินเป็นเม็ด ๆ นั้น ใช้เมื่อจำเป็น แต่ก็ทำให้วิตามินและอาหารเสริมในเมืองไทยเริ่มขายดี

กระนั้นก็ตาม ก็มีแพทย์จำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจ ได้กระทบกระเทียบว่า 'การกินวิตามิน รังแต่ทำให้น้ำปัสสาวะของคนเราแพงขึ้นเท่านั้นเอง' พูดง่ายๆว่า เปล่าประโยชน์ที่จะกินวิตามิน เนื่องจากพวกเขาในขณะนั้นยังไม่รู้เรื่องของ free radicals กันเลย ครั้งเมื่อเห็นว่าวิตามินซีธรรมชาติกำลังขายดิบขายดี ก็มีแพทย์อีกจำนวนหนึ่งบอกว่า 'ระวังกินวิตามินซีมากๆจะเป็นนิ่วในไต' ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าจะพิจารณากลไกการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย ตามปกติในลำไส้ของเราจะมี receptor ซึ่งเป็นประตูเปิดรับวิตามินซี ประตูเหล่านี้จะเปิดปิดมากน้อยตาม

แต่ละขณะ คนปกติต้องการวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระวันละประมาณ 1,000 มก. ถ้ากำลังเครียดอาจเพิ่มความต้องการเป็น 2,000 มก. ถ้ากำลังเป็นหวัดความต้องการจะเพิ่มเป็น 4,000-6,000 มก. และถ้าเป็นมะเร็งอาจมีความต้องการเพิ่มเป็น 10 พัน-50 พัน มก. ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการวิตามินในระดับนั้น การกินวิตามินซีมากเกินความต้องการ ก็จะไม่ดูดซึมและถ่ายทิ้งไป ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เหมือนอย่างที่ใครสักคนหนึ่งกินมะขามมากๆแล้วท้องเสียนั่นแหละ การเกิดนิ่วในไตจากวิตามินซีจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้

การกินวิตามินแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนั้น และยิ่งแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อมีกิจการขายตรงแบบ MLM ชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่กินวิตามินกันอย่างไม่อั้น ก็คือ ชาวบ้านระดับไฮโซไฮซ้อ นั่นเอง

มิไยว่าผมจะพร่ำบอกให้ ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร กินอยู่อย่างไทยซะก่อน ก่อนที่จะกินวิตามิน เพราะต้องอยู่ประการหนึ่งว่า สารธรรมชาติเหล่านี้มีมากมายมหาศาล สกัดกลั่นอย่างไรก็เอาออกมาเป็นเม็ดๆไม่ได้หมด เพียงแค่ฟลาโวนอยด์ก็มีในธรรมชาติแล้ว 4,000 ชนิด แคโรทีนมีอยู่ 600 ชนิด และสารผักมีอีกมากกว่า 10,000 ชนิด แต่ภูมิปัญญามนุษย์นั้นสามารถสกัดออกมาได้เพียง 100 กว่าชนิดเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าจะคอยกินวิตามินโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย

กระนั้นก็ตามกิเลสของคนเรา ก็ทำให้ผู้คนมิได้สนใจในคำเตือนนี้เท่าไรนัก จะมุ่งเอาแต่วิธีง่ายๆ คือคอยซื้อหาวิตามินมากิน กินแก้อ้วน กินให้หุ่นดี กินให้ผิวสวย กินให้ไม่ท้องผูก มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่ผมถูกเชิญไปบรรยายให้สโมสรชาวไฮโซทั้งหลายฟัง พิธีกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็แปลก คือเวลาเชิญเราไปบรรยาย เขาจะเร่งให้เรารีบๆ กินอาหารให้จบๆ ไปก่อน แล้วเมื่อสมาชิกของเขามากันพอสมควรแล้ว ทีนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารให้สมาชิก แล้วเชิญเราขึ้นพูด นับว่าไฮคลาสพอสมควร คืออย่างน้อยๆ เราก็ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ให้ผู้คนกินข้าวเคล้าเรื่องตลก ต่างกันตรงที่ว่าเนื้อหาของเราที่บรรยาย คุณภาพคับแก้ว ประจุไว้ด้วยสาระวิชาการ นั่นต่างหาก พอบรรยายเสร็จ เขาก็เชิญเรานั่งร่วมโต๊ะ ทีนี้ละท่านผู้ไฮโซทั้งหลาย จะพากันมาถามเป็นส่วนตัวว่าวิตามินตัวนั้น ตัวนี้กินได้ ไม่กินดี เป็นต้น หลายๆท่านจะพกกระเป๋ามา 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์ อีกใบหนึ่งเป็นกระเป๋าวิตามิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า'จะกินวิตามินเหล่านี้สักแค่ไหน แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร เล่นกินโต๊ะจีน กินอาหารฝรั่งอย่างที่เรากินกันมื้อนี้ กินไปอีกกี่ขวด ก็จะป่วยง่าย ตายเร็วอยู่ดี ก็มีคนพยักหน้า เชื่อผมอยู่หลายคน แต่ผู้จัดคงรู้สึกถึงความตรงไปตรงมาของผม จากนั้นก็เคยไม่กล้าเชิญผมไปบรรยายให้ไฮโซไฮซ้อวงนั้นอีกเลย ครับ ในแนวคิดของบัลวี เราถือว่า คนเราจะหายป่วยเจ็บ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง แต่เมื่อป่วยเจ็บเสียเต็มประดา อย่างใครที่เป็นภูมิแพ้ เป็นมะเร็ง การเอาอาหารที่เขาสกัดมาเป็นเม็ดเข้มข้นมากินเข้าไป และถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บ ก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน อย่าทำให้ปัสสาวะของท่านแพงขึ้นด้วยวิตามินที่เกินความจำเป็น แค่กินอาหารให้ถูกส่วน กินผักผลไม้เยอะๆ ก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้วละครับ

กับดักสุขภาพ ประการที่ 7 กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป

ยุคนี้เป็นยุคของการคืนสู่ธรรมชาติ และเมื่อพูดถึงธรรมชาติใครๆก็มักจะนึกถึงสมุนไพร มีผู้รักสุขภาพจำนวนไม่น้อยที่หนีจากการกินยาแผนปัจจุบัน แล้วหันไปกินยาสมุนไพรโดยคิดอย่างเถรตรงว่า ขึ้นชื่อว่าสมุนไพรแล้ว ย่อมไม่มีผลร้ายแต่ประการใด นั่นนับเป็นความเข้าใจผิดประการหนึ่ง

แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่ายาสมุนไพรก็หมายถึง สิ่งที่กินเพื่อบำบัดรักษาโรค แต่นำมาจากพืชและสัตว์ ถ้ามาจากสัตว์ก็เรียกว่า สัตว์สมุนไพร ถ้ามาจากพืชก็เรียกว่า พืชสมุนไพร ในสัตว์และพืชย่อมมีสารอินทรีย์จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะออกฤทธิ์ช่วยบำบัดรักษา โรคให้กับคนเรา สารอินทรีย์เหล่านี้ย่อมต้องการปริมาณที่พอเหมาะ ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไปในการออกฤทธิ์รักษาโรค

ทีนี้เมื่อจะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค จึงต้องศึกษาวิธีการใช้ และปริมาณการใช้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีกรณีใหญ่ๆที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคอย่างไม่ถูกวิธี จนถึงขั้นเกิดอันตรายร้ายแรงกับผู้ใช้ เช่นการใช้ผลมะเกลือคั้นน้ำกะทิเพื่อถ่ายพยาธิ ถ้าทำอย่างผิดวิธีก็ถึงขั้นทำให้เด็กที่กินถึงกับตาบอดได้ อีกกรณีหนึ่งคือ การใช้ใบขี้เหล็กรักษาอาการนอนไม่หลับ แกงขี้เหล็กที่คนไทยรู้จักกันดี สามารถกินกันได้อย่างสนิทใจ และมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ช่วยไม่ให้ท้องผูก และนอนหลับสบายอีกด้วย ต่อมามีการค้นพบว่าใบขี้เหล็กยังมีสารยาซึ่งออกฤทธิ์ช่วยให้นอนหลับ จึงมีความพยายามที่จะทำใบขี้เหล็กให้เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายเป็น ชนิดเม็ด และกระบวนการผลิตก็กระทำกันอย่างง่ายๆโดยใช้ใบขี้เหล็กตากแห้ง บดเป็นผงแล้วทำเป็นเม็ดขึ้นมาเลย ซึ่งแม้แต่องค์กรรัฐวิสาหกิจทางด้านเภสัชกรรมก็ยังเป็นผู้นำหน้าในการผลิต ขี้เหล็กเม็ดขึ้นมาวางจำหน่ายในท้องตลาด

อย่างไรก็ดี เมื่อขี้เหล็กแคปซูลเหล่านี้ เข้าถึงผู้บริโภคอยู่พักใหญ่ ก็เริ่มมีข้อสังเกตจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารหลายท่านว่า เริ่มพบผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุอื่นนอกจากประวัติที่ว่า ได้กินขี้เหล็กแคปซูลมาพักหนึ่ง

หลังจากได้ติดตามค้นคว้ากันอยู่พักหนึ่ง ก็มีผลยืนยันออกมาว่า ผู้คนที่มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้นสูงเหล่านั้นต้องพิษจากสารบางอย่างในใบขี้ เหล็กนั่นเอง เป็นผลให้ต้องมีการประกาศให้เลิกใช้ยาเม็ดขี้เหล็กไปทั่วประเทศ

อย่างไรก็ดี คำถามมีว่า เหตุใดคนโบราณจึงกินแกงขี้เหล็กโดยไม่ปรากฏอันตรายขึ้น เหตุผลน่าจะอยู่ที่ว่า บรรพบุรุษของเรากินขี้เหล็กโดยเอามาแกง ความร้อนได้ทำลายสารพิษบางอย่างในขี้เหล็กไปแล้ว จึงปลอดภัยในการกิน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กผงมาทำเป็นเม็ด ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำความร้อน สารพิษจึงยังคงอยู่

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกินอยู่อย่างบรรพบุรุษ ได้แฝงไว้ซึ่งภูมิปัญญาในการเลือกกินเลือกอยู่ในปลอดภัยไร้โรค แต่เมื่อคนสมัยใหม่คิดจะสุขภาพดีทางลัด โดยลัดภูมิปัญญาของท่านด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่ อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

กับดักสุขภาพ ประการที่ 8 ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ

สมัยหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขนึกสนุกขึ้นมา จะพาคนไทยเต้นแอโรบิกส์ให้ได้จำนวนมากๆเพื่อลงกินเนสบุ๊ค ก็แห่กันไปเต้นกันย็อกแย็กอยู่วันเดียว เพื่อให้ได้ชื่อว่าลงบันทึกที่สุดในโลกเล่มนั้น งานนั้นเล่นเอาท่านอาจารย์เสม พริ้งพวงแก้ว สร้างความใจหายใจคว่ำให้แก่ลูกๆทั่วประเทศ ด้วยห่วงว่าท่านจะเกิดอาการไม่สบายขึ้นมาอย่างกระทันหัน โชคดีว่าไม่เป็นอะไร แต่เบื้องลึกของงานดังกล่าวเสื้อเหลืองถูกแจกจ่ายไปโดยกะเกณฑ์กันให้ทุก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกันไปเต้นกันให้มากๆ ทั้งๆที่คนเต้นจำนวนไม่น้อย เกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยออกกำลังกายเลย แต่ไปเพราะใจที่ถูกกะเกณฑ์ และไปเพราะมีเสื้อเหลืองบังคับอยู่

มาในวันนี้เสื้อสีเหลืองถูกเปลี่ยนมือ เปลี่ยนสถานที่สวมไปอยู่แถวสวนลุมพินีเสียแล้ว นั่นแสดงถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดพฤติกรรมเต้นแอโรบิกหมู่ สะท้อนถึงความเห่อตามสมัยนิยมไปอย่างนั้นเอง
คนอีกจำนวนหนึ่ง เข้าฟิตเนสอย่างไม่รู้จักจุดมุ่งหมายของฟิตเนสให้ดีพอ คิดแต่จะไปวิ่งลดน้ำหนัก บางทีอาจเสียเงินแล้วอาจเสียสุขภาพก็ได้

ก่อนอื่นคำว่าฟิตเนสมีความหมายกว้างไกลกว่าการวิ่งสายพานหรือเล่นลูกน้ำหนัก เพราะฟิตเนสหมายถึงความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่ง Garry Null และ Martin Feldman ได้ให้คำนิยามไว้ว่า Fitness ในโลกยุคปัจจุบันประกอบด้วย 3 ประการคือ

1.Cardio-vascular Fitness ความแข็งแรงของหัวใจหลอดเลือด
2.Immunity Fitness ความแข็งแรงของภูมิต้านทาน
3.Anti-oxidant Fitness ความแข็งแรงของการล้างพิษอนุมูลอิสระ

ความแข็งแรงทั้ง 3 ประการจะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม ออกกำลังกายแอโรบิกส์ที่ 60% Maximum heart rate ในระดับดังกล่าวจะได้ทั้งการฝึกฝนหัวใจหลอดเลือด เข้าสู่ภาวะแอโรบิกส์ ขณะเดียวกันอนุมูลอิสระก็เกิดขึ้นไม่มากไม่น้อย โดยอนุมูลอิสระจำนวนพอเหมาะจะกระตุ้นภูมิต้านทานให้
แข็งแรงพอดิบพอดี ถ้าออกกำลังมากไปกว่านั้น อนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นล้นเกิน ทำให้ภูมิต้านทานลดต่ำ และเป็นเหตุให้ร่างกายสึกหรอเพิ่มขึ้นอีกด้วย

นอกจากออกกำลังกายแล้ว ผู้ออกกำลังกายยังต้องรู้จักการกินอาหารที่เหมาะสม กินผักผลไม้ให้มากเพื่อลดอนุมูลอิสระ ถ้ากินได้มากเพียงพอ คือ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน ก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอโดยไม่ต้องกินวิตามินชนิดเม็ดแต่ประการใด

การออกกำลังกายยังต้องกระทำทั้งทางร่างกาย และทางจิตด้วย การออกกำลังทางจิตทำได้โดยฝึกลมหายใจ ฝึกลมหายใจให้ยาวจนถึงระดับ 6 ครั้ง/นาที จะนำจิตเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งหรือสมาธิ

การเข้าฟิตเนสนั้นดีอยู่หรอก แต่ควรสนใจใช้อย่างมีคุณภาพ ประการต่างๆดังนี้:

1. ออกกำลังกายตามความสามารถของตน ไม่ใช่เร่งตัวเองไปตามแรงเชียร์ของพนักงาน ปัจจุบันฟิตเนสส่วนหนึ่งจ้างพนักงานโดยจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานคนนั้น เรียกได้จากลูกค้า จึงเกิดการ 'เชียร์แขก' กันสุดขั้วไปข้างหนึ่ง หลายคนกล้ามเนื้อฉีก เอ็นอักเสบ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนไม่สามารถออกกำลังกายไปตลอดชีวิต

2. ฟิตเนสมิได้มีไว้ลดน้ำหนักสถานเดียว ต่อให้วิ่งคนลิ้นห้อย อาจเผาพลังงานไปเพียง 120-150 กิโลแคลอรีด้วยเวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งเท่ากับข้าวต้มหมูชามเดียว ใครที่กินราดหน้าก็ต้องวิ่งถึง 45-60 นาทีโดยประมาณ วิ่งสายพานอย่างเดียวจึงไม่ใช่สรณะของการลดน้ำหนัก ต้องปฏิบัติอย่างองค์รวม และผู้ประกอบการฟิตเนสก็ควรแสวงหาความรู้และแนวทางปฏิบัติอย่างองค์รวมเพื่อ ลูกค้าของตน

3. อุตส่าห์เสียเงินสมัครฟิตเนสแล้ว ก็ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ กว่าร้อยละ 80 ของสมาชิกฟิตเนส มักเห่อประเดี๋ยวประด๋าว ใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็ทิ้งเงินไป นี่คือบริโภคนิยมอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่น่านิยม เสียทั้งเงินแถมไม่ได้สุขภาพอะไรกลับมา นอกจากบัตรหนึ่งใบที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกฟิตเนส

Credit : http://beauty.vwander.com

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีฟิตหุ่น ทำสะโพกให้สวย ดูดี

ลองทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ต่อไปนี้ แล้วคุณจะมีบั้นท้ายที่กลมกลึงสวยงาม

วิธีแรก ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิก การวิ่ง ปั่นจักรยาน การบริหารเฉพาะส่วน ฯลฯ เป็นวิธีที่ช่วยให้สะโพกสวย แน่น และกระชับมากขึ้น คนอ้วน หรือผอมก็สามารถใช้วิธีนี้ได้

วิธีที่สอง ควบคุมอาหาร แต่ไม่ใช่อดอาหารนะคะ เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์มากกว่ารับประทานตามใจปาก ควรทานให้ครบทั้ง 3 มื้อ และหยุดทันทีถ้ารู้สึกอิ่ม ลดอาหารจำพวกที่ให้พลังงานสูง และอาหารรสจัด หวานจัด มันจัด ควรดื่มนมที่พร่องมันเนย ของขบเคี้ยว ให้เลือกทานประเภทพืชเปลือกแข็งแทน เช่น ถั่ว เม็ดแตงโม ฯลฯ

วิธีที่สาม การนวด การนวดมีประโยชน์มากกับขาช่วงต้นขาด้านบน ด้านหน้าและหลัง โดยเฉพาะช่วงต่อจากก้นลงมา เพราะถ้าบริเวณนี้มีไขมันมากจะทำให้สะโพกห้อยและย้อยได้ นอกจากนี้การนวดยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต รวมทั้งกำจัดของเสียและไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังด้วย

ข้อแนะนำสำหรับการนวดที่ดี คือ ให้ใช้ครีมที่ใช้ขจัดไขมันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนวด ควรเป็นตอนก่อนนอน หลังอาบน้ำในตอนเช้า หรือก่อนทานอาหารหนึ่งชั่วโมง ควรใช้ครีมนวดติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ถ้าใช้ ๆ หยุด ๆ จะไม่เห็นผล และหยุดใช้ครีมนวดทันทีถ้าเกิดอาการแพ้

วิธีที่สี่ การขัดผิว จะช่วยในเรื่องของการแตกลาย จุดด่างดำ ผดผื่นแดง และรอยหยาบกร้านให้หมดไป คุณสามารถขัดผิวได้ด้วยตัวเองโดยใช้น้ำมันขัดผิวที่ทำขึ้นเองแบบง่าย ๆ และประหยัด โดยนำเกลือเม็ดใส่ลงในขวด กะปริมาณตามที่ต้องการใช้ จากนั้นเติมน้ำมันมะกอกลงไป สังเกตุให้เกลือดูดซึมน้ำมันจนหมดอย่าให้แห้ง หรือเปียกเกินไป เติมน้ำหอมกลิ่นที่คุณชอบลงไปสัก 2-3 หยด จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นในขณะที่ขัดผิวให้ขัดเป็นวงกลมในบริเวณที่เกิดรอย หยาบกร้าน

วิธีสุดท้าย การเสริมแต่งด้วยชุดชั้นใน เป็นวิธีที่กำลังมาแรงและง่ายที่สุด ผู้หญิงยุคใหม่ที่อยากมีสะโพกสวยมักหันไปพึ่งชุดชั้นใน (INNERWEAR) แทน เพื่อช่วยเสริมบุคลิกภาพที่ดีแก่ผู้สวมใส่ จะช่วยจัดทรงให้แก่ผู้สวมใส่ เน้นรูปร่างสัดส่วนมากขึ้น ไม่ว่าหน้าอก เอว หน้าท้อง สะโพก

เคล็ดลับทั้ง 5 วิธีนี้ นอกจากจะได้สะโพกที่สวยกลมกลึงแล้ว ยังทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นด้วยค่ะ

Credit : http://beauty.vwander.com

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ ผิวขาวใส แบบใส่ใจสุขภาพ

สาว ๆ ที่รักในการเล่นกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเดินเล่นในสวนสาธารณะ การปลูกต้นไม้ การวิ่งออกกำลังกายใกล้ๆ บ้าน หรือจะเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผิวเกิดการคล้ำเสียเนื่องจากการสัมผัสกับแสงแดด และรังสี UV ซึ่งรังสี UV ในแสงแดดนี่เองที่เป็นตัวการสำคัญ และต้นเหตุที่ทำให้ผิวใสๆ ของคุณสาวๆ กลับมาคล้ำเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งกว่าจะกลับขาวใสเหมือนเดิม ก็อาจใช้เวลานานในการต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในบ้านไม่อยากออกไปโดนแสงแดดข้าง นอก และนอกจากจะทำให้ผิวคล้ำเสียแล้ว แสงแดดเหล่านี้อาจทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เกิดเป็นจุดด่างดำ ผิวแห้งกร้าน และหยาบกระด้างได้ และโดยปกติแล้ว ถึงแม้ว่าจะหลบอยู่ในที่ร่ม แต่รังสี UV นี้ก็สามารถที่จะทำลายผิวขาวสวยๆ ของสาวๆ ได้อยู่ วันนี้เนสมีเคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้ผิวของสาวๆ ที่เกิดคล้ำเสีย กลับกลายมาเป็นผิวขาว สวย อวดผิวสุขภาพดีกันอีกครั้ง
เคล็ดลับ ผิวขาวใส แบบใส่ใจสุขภาพ

เคล็ดลับที่ทำให้ผิวขาว สวยใส

* อาหารช่วยให้ผิวสวย โดยเน้นรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ หรืออาหารที่ต้านการเสื่อมของผิวพรรณ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือผิวหนังที่เสียไป เช่น ไข่ นม เนย บรอกโคลี ผักขม ฟักทอง มะเขือเทศ และส้ม ผักสีเหลืองและสีแดง หรือสารอาหารที่ให้ความชุ่มชื้นต่อผิวกาย เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง น้ำมันปลา น้ำมันงา
* ขัดผิวกาย เพื่อเป็นการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายหรือเสื่อมสภาพแล้วให้หลุดลอกออกโดยเร็ว และเพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ สาวๆ ทั้งหลายสามารถทำสครับขัดผิวเองได้ง่ายๆ ด้วยการนำสิ่งของใกล้ตัว เช่น น้ำตาล เมล็ดกาแฟ ข้าวโอ๊ต กล้วยมีเมล็ด เมล็ดอัลมอนด์ มาบดให้ละเอียดและผสมกับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรือน้ำมันมะกอก การขัดผิวนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความสดใสสุขภาพดีของผิวพรรณ
* แต่งเติมเสริมแต้มอีกนิด หากต้องการเพิ่มความกระจ่างใสของผิวสาวอย่างรวดเร็ว สาวๆ อาจมีการเสริมแต่งเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ด้วยการใช้ผงชิมเมอร์ทาบนผิวกาย หรือหากต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นให้กับผิวกาย ก็สามารถนำผงชิมเมอร์ผสมกับโลชันบำรุงผิว หรือโลชันบำรุงผิวบางชนิดตามร้านค้าอาจมีส่วนผสมของชิมเมอร์อยู่แล้วก็ สามารถใช้ได้ เพื่อสร้างความเรืองรองกระจ่างใสให้ผิวได้อีกทางหนึ่ง
* โลชันบำรุงผิวสาว หากต้องฟื้นฟูผิวจากความคล้ำเสียอย่างถาวร สาวๆ จำเป็นจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวคล้ำเสีย ด้วย ไปพร้อมกับการปกป้องผิวจากแสงแดด โดยควรทาโลชันบำรุงผิวอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนนอน เพื่อบำรุงและป้องกันผิวไม่ให้กลับมาคล้ำเสียอีก
* พักผ่อนนอนหลับ การพักผ่อนนอนหลับอย่างสนิท จะช่วยยืดอายุของผิวพรรณไม่ให้เสื่อมเร็วเกินไป ถ้าจะให้ดีที่สุด ก่อนนอนทานนมอุ่นๆ ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย ทำจิตใจให้สงบ หรือจะสวดมนต์ ทำบุญวันเกิด อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวร แผ่เมตตาจิตก่อนนอน เท่านี้ ตื่นขึ้นมา ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ จะสดชื่นผิวพรรณผุดผ่องได้
Credit : http://beauty.vwander.com

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โคจิค เอซิด สารปรับผิวขาว

ดีหรือไม่กับการที่คุณไปฉีดผิว เพื่อที่จะทำให้ ขาว ใส ผิวโอโม่ ด้วยสารที่เรียกว่า Kojic Acid หรือ โคจิค เอซิด โคจิค เอซิด โดยทั่วไปสารชนิดนี้นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น โคจิก แบบฉีด มีคุณสมบัติทำให้ผิวขาวใสทั่วเรือนร่าง ปรับผิวขาว รักษาฝ้า กระ จุด และลบรอยหมองคล้ำ ตามคำโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลายของ โคจิค เอสิด

เช่น kOJIC ACID JAPAN นวัตกรรมล้ำหน้า เพื่อผิวขาวใส โดยตรง ใหม่ล่าสุด ด้วย โคจิก แอซิด เพียว 1000 mg ช่วยในเรื่อง ผิวขาวโดยตรง โดยเฉพาะ เห็นผลดีที่สุดในตอนนี้ ช่วยปรับผิวให้ขาวทั่วเรือนร่างอย่างรวดเร็ว รักษาฝ้ากระ จุดด่างดำจากผิวที่โดนแสงแดดมาเป็นเวลานาน โคจิกแอซิด เป็นส่วนผสม ที่ แพงมาก และ อยู่ในเครื่องสำอางไวท์เท็นนิ่ง ทุกแบรนด์ เพียง 0.0001 % แต่ โคจิกแบบฉีดตัวนี้ มีความเข้มข้น สูงถึง 1000 mg รับรองผลจากทางบริษัท เห็นผลภายในเข็มแรก และทดสอบกับผู้ชายและผู้หญิงทั่วโลกแล้ว ว่าปลอดภัย ไร้สารเคมี ผ่านการรับรองแล้วทั่วโลก

Kojic Acid สุดยอดนวัตกรรมเพื่อผิวขาวล่าสุดจากประเทศญี่ปุ่น กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นญี่ปุ่นและเกาหลี ที่กำลังมาแรง ไม่ใช่กลูต้าไธโอนแต่เป็นสารสกัดจากเห็ดคุณสมบัติของ ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีผิว ถึงในระดับโมเลกุล (DNA) จึงส่งผลให้ผิวคุณขาว ใส เรียบเนียนทั่วเรือนร่างอย่างรวดเร็ว

Kojic Acid จาก Japan เป็นสารสกัดจากเห็ด มีคุณสมบัติต่อต้านการสร้างเอมไซม์ที่จะผลิตเมลานินสีเข้ม ช่วยทำให้ผิวขาวทั่วเรือนร่าง รักษาฝ้ากระ จุดด่างดำ ที่ดีที่สุดในเวลานี้!

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความสูง ความสวย

คุณ รู้หรือไม่ว่า โดยปกติแล้ว ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่มีเกณฑ์เฉลี่ยของส่วนสูงอยู่ที่เท่าไหร่? ทราบหรือไม่ว่า มารีฟรานซ์ บอดี้ไลน์ สถาบันลดความอ้วนชื่อดัง เป็นห่วงสถิติโรคอ้วนของหญิงไทยที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 47% อันเนื่องมาจากการบริโภคอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย หลาย % ส่วนใหญ่ คิดว่า ตนเองสูงพอที่จะอ้วนได้ โดยปกติแล้วการเทียบน้ำหนักของสาวๆ คือ (ส่วนสูง - น้ำหนัก) - 10 ถึง 13 คือให้มีตัวเลขอยู่โดยที่ไม่เกินจากนี้ จะถือว่าสมบูรณ์ แต่หลายๆ คนเข้าใจผิดไปว่า อ้วนไป ผอมไป ไม่สมส่วน ซึ่งการเปรียบเทียบในลักษณะดังกล่าว เป็นแค่เพียงการประเมินคร่าวๆ เท่านั้น ทั้งนี้ การมีสุขภาพที่ดี สูงสมส่วนนั้น ต้องดูส่วนประกอบอื่นๆ เช่น สุขภาพร่างกายโดยรวม ลักษณะของข้อ กระดูกข้อต่อต่างๆ สมบูรณ์ดีหรือไม่
ความสูง ความสวยคิดดูว่า หากเราสูง 170 cm. น้ำหนัก 60 กก. สาวๆ ส่วนใหญ่จะโวยวายแล้วว่า อ้วนไป อวบไป แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ที่คิดว่า ตนเองนั้นยังมีรูปร่างผอมบาง เพราะมีความสูงชะลูด ยังสามารถขยายตัวได้ใหญ่อีกหน่อย และก็ไม่ต้องคอยหลบสายตาคนมอง ว่าเป็นเสาไฟฟ้า แต่ก็มีบ้างตามลักษณะอาชีพที่ต้องมีการควบคุมน้ำหนัก แม้ว่าจะมีความสูงของร่างกายมากกว่าคนทั่วไป เช่น เหล่านางแบบ นักกีฬา ซึ่งนักกีฬานั้นหากผู้ที่มีความสูงโดดเด่น จะต้องเป็นนักวอลเล่ย์บอล นักบาสเก็ตบอล ซึ่งความสูงที่ได้ส่วนใหญ่นี้เกิดจากการฝึกซ้อมกระโดดต่อเนื่องกันนาน และเกิดจากกรรมพันธุ์บางส่วน
ผู้ที่ต้องการความสูงเพิ่ม ในวัยหลุดพ้นการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายแล้ว ควรที่จะฝึกกระโดดบ่อยๆ จะสามารถเพิ่มความสูงให้กับตนเองได้อีกประมาณ 1-2 เซนติเมตร มีบางรายสามารถสูงได้ถึง 5 เซนติเมตร

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดีของหญิงสาว

การ มีสุขภาพดี เริ่มต้นจากข้างใน ดังคำกล่าวอมตะของจีนที่ว่า กินอะไร ได้อย่างนั้น สุขภาพที่ดีก็เช่นกัน หากเราเลือกและพิถีพิถันซักเล็กน้อยในเรื่องของการกิน (ไม่ใช่ว่าจะสรรหาแต่สิ่งที่ดีแพงๆ มากินอย่างเดียว) สุขภาพที่ดีก็จะไม่ไปไหน ลองดูขั้นตอนนี้ดู เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดีของหญิงสาว

เริ่มต้นด้วยการลองทานอาหารใหม่ๆ ดูบ้าง คุณผู้หญิงคนไหนที่ no idea ไม่รู้หรือคิดไม่ออกว่าจะทานอะไรดี แล้วที่สุดก็ต้องจบด้วยเมนูอาหารซ้ำซาก จำเจ แบบเดิมๆ อยู่อย่างนั้น คุณควรปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ เวลาที่คุณผู้หญิง ทานอาหารซ้ำๆ แบบเดิมๆ นั้น จะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอได้ อีกทั้งอาหารซ้ำๆ อาจเกิดพิษสะสมในร่างกาย ลองคิดดู ถ้าร่างกายรับรู้ว่า เวลานี้ต้องได้ไก่ เวลานี้ต้องได้เนื้อ แบบเดิมๆ ร่างกายก็จะสกัดสารหลายชนิดมาเตรียมพร้อมรองรับ เหมือนเวลาเราหิว ถ้ารับประทานอาหารตรงเวลา เราจะหิวตรงเวลา ดังนั้นควรหันมาทานอาหารที่หลากหลายขึ้น แล้วก็เลือกรับประทานตามความเหมาะสมเพื่อที่ร่างกาย จะได้รับวิตามิน และ สารต้นอนุมูลอิสระเพิ่มเติมมากขึ้นด้วย อีกทั้งได้พัฒนาสมองว่า วันนี้จะมีเมนูเด็ดอะไรให้ลองชิม

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดีของหญิงสาว
สุขภาพที่ดีซื้อไม่ได้

ทดลองสวมบทเชฟให้กับตัวเองในบางมื้อ ลงทุนเข้าครัวบ้าง นานๆ ครั้งก็ไม่เลว จะได้ควบคุมในเรื่องของการปรุงอาหารเอง เลือกทานแต่ของดีมีประโยชน์ สำหรับส่วนผสมไหนที่ไม่ต้องการมากนัก ก็ลดๆ ลงไปบ้าง สำหรับสาวๆ ที่กำลังควบคุมน้ำหนักอยู่ นี่เป็นเคล็ดลับเพื่อสุขภาพสาวสวยจริงๆ หากใส่ใจสุขภาพ การอยู่กับอาหาร ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำให้อ้วนแต่อย่างใด

ลองหัดทานอาหารจำพวกธัญพืช หรือไม่ต้องหัดสำหรับสาวสวยชีวจิต เพราะชำนาญการอยู่แล้ว ที่แนะนำให้คุณผู้หญิงทั้งหลายหันมาทานธัญญาพืชนั้น เนื่องมาจากว่าธัญพืช สามาถป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้เช่น โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคลมชัก โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็ง และหลายๆ โรค เนื่องจากผักผลไม้บางชนิด มีสารต้านอนุมูลต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะธัญพืช หรือ ผักผลไม้ที่มีสีจัดจ้าน เช่น งาดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง นอกจากนี้ ธัญพืชยังช่วยต่อต้านคอเลสเตอรอลในร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยเอื้อประโยชน์สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังดูแลรักษา สัดส่วน นั่นก็คือ ธัญพืช มีไฟเบอร์เยอะมาก เมื่อทานไปแล้วก็ทำให้อิ่มท้องอยู้ได้นาน ใครที่กำลังควบคุมน้ำหนักเพื่อหุ่นสวยก็สามารถนำเคล็ดลับนี้ไปใช้ดู

หาของทานเล่นระหว่างมื้อ ไม่ใช่ขนมขบเคี้ยวสารพัด แต่หมายถึงการกินมื้อเล็กๆ ระหว่างวันจะช่วยกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญในร่างกายนั้นทำงานตลอดทั้งวัน (ทั้งนี้การทานมือหลังก็ทานเฉพาะพออิ่มท้อง) นอกจากนี้ร่างกายยังสามารถได้รับสารอาหารเพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการทานในมื้อหลักๆ 3 มื้อ ข้อดีของการทานอาหารระหว่างมื้อนั้น ยังช่วย รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย และทำให้อารมณ์ดีขึ้นด้วย

รู้หรือไม่ว่าการที่สาวๆ ทั้งหลาย กินมื้อเล็กๆ แทรกระหว่างวันจะเป็นการช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น เพราะคุณจะได้รับวิตามิน และ เกลือแร่ ที่ร่างกายต้องการอย่างเพียงพอนั่นเอง

Credit : http://beauty.vwander.com

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ฉีดผิวขาวดีหรือไม่

จาก แฟชั่นบ้าดารา สาวๆ มักเลือกวิธีเหมือนด้วยการฉีดผิวขาว น่าทำตามหรือน่าสยอง หลายสำนักข่าวลงข่าวกันทั่วถึงเกี่ยวกับอันตรายที่เกิดจากการฉีดผิวให้ขาว ของสาวบ้านเรา

วันเดียวกันผู้สื่อข่าวจาก คม ชัด ลึก ได้ออกสำรวจคลินิกเสริมความงามในเมืองกรุง ย่านสยามสแควร์ แหล่งรวมวัยทีนจำนวนมาก พบว่าคลินิกชื่อดังหลายแห่งล้วนแล้วแต่มีโปรแกรมฉีดสารกลูตาไธโอน เพื่อเพิ่มความขาวให้ผิว โดยอ้างว่าเป็นการ "ฉีดดีท็อกซ์หน้าขาว ตัวขาว" โดยสนนราคาเข็มละ 1,600-4,000 บาท และต้องฉีดอย่างน้อย 3-5 เข็ม ขึ้นอยู่กับสีผิวของลูกค้า พร้อมกับอ้างสรรพคุณว่าจะทำให้ผิวทั่วเรือนร่างขาวกระจ่าง สดใส ไร้รอยด่างดำ โดยเฉพาะผิวใต้วงแขน ริมฝีปาก ตลอดจนทำให้หัวนมขาวอมชมพู ว่าไปนั่น

จะว่าไปแล้วเรื่อง ความสวยความงาม นับเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของสาวๆ ทั้งหลาย โดยเฉพาะแฟชั่นนิยมผิวขาวของคนยุคนี้ ที่มีความเชื่อว่า "ขาวดูดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" ตอกย้ำปมด้อยของหลายคนที่ผิวคล้ำให้มุดอยู่แต่ในบ้าน

การมีผิวขาวนั้น ดูจะเป็นเครื่องล่อยวนใจให้บรรดาหญิง-ชายทั้งหลายที่ลุ่มหลงความขาว จั๊วะ...น่าเจี๊ยะ วิ่งโร่เข้าหาสารพัดวิธีเพื่อที่จะนำมาซึ่งผิวพรรณเปล่งประกาย ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก จากกระแสแฟชั่นนิยมผิวขาวปิ๊งๆ นี่เอง จึงเป็นบ่อเกิดของกลุ่มผู้ประกอบการ และสถานเสริมความงาม หลายแห่งฉวยโอกาสนำสารกลูตาไธโอน มาโฆษณาชวนเชื่อ ชักจูงประชาชนทั้งหลายที่หลงผิด ว่าสารตัวนี้ฉีดเข้าสู่รางกายแล้วผิวจะขาวเปล่งปลั่งเหมือนดารา มีรังสีออร่าเรืองรองออกมาเลยทีเดียว

ไม่แต่คนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ คนในวงการบันเทิงที่ทำตามแฟชั่นดังกล่าว รวมไปถึงคนที่เป็นข่าว ว่าดอดไปฉีดผิวขาว เพื่อให้ดูเปล่งปลั่งขึ้นจนผิดหูผิดตาก็มีมากหน้าหลายตา ไล่เรียงมาตั้งแต่นางเอกผิวเข้มแห่งวิกหมอชิต “จุ๋ย” วรัทยา นิลคูหา มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าเธอไปฉีดสีผิวเพื่อให้ขาวขึ้น งานนี้เจ้าตัวได้ยอมรับว่าด้วยความที่ทำงานหนักพักผ่อนน้อยเลยต้องเข้าโรง พยาบาล คุณหมอบอกว่าขาดวิตามิน คุณหมอที่รักษาจึงได้ฉีดวิตามินเข้าไปทางสายน้ำเกลือ ซึ่งแพทย์บอกว่ามีลักษณะคล้ายๆ กับการฉีดสีผิว เพราะมันต้องเข้าไปทางเส้นเลือด แต่ไม่ได้ฉีดตลอดทั้งปี คือฉีดครั้งเดียวก็อยู่ได้ 2-3 วัน เท่านั้นเอง...ก็ขอให้มันจริงเต๊อะ

ฉีดผิวขาว ดีหรือไม่


ตามติดมาที่ “เจ๊ดา” ดารุณี กฤตบุญญาลัย ก็ยอมรับว่าได้บินไปฉีดรกแกะ 11 เข็ม ถึงประเทศเยอรมนี ซึ่งทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งขึ้นทันตาเห็น แหม เกิดมาดำนี่นะ วาสนาไม่มีแต่มันนี่มันเอื้อเลยเอาซะหน่อย

ส่วนคนที่มีผิวขาวบริ๊งเกินหน้าเกินตาคนอื่นๆ อย่างนักแสดงวิกหมอชิต “เกรซ” กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า ก็ถูกลือว่าไปฉีดสีผิวให้ขาวประกายขึ้น แต่งานนี้เจ้าตัวได้ออกโรงโต้ว่าไม่ได้ไปฉีดผิวขาวซะหน่อย แต่ตัวเองเป็นคนขาวธรรมชาติอยู่แล้ว เป็นข่าวแบบนี้เธอเองรู้สึกเครียดเหมือนกัน และหวั่นเด็กจะขอเงินพ่อแม่เพื่อไปฉีดผิวขาวเหมือนดาราด้วย ซึ่งการฉีดผิวมันอันตรายมาก ซึ่งจริงๆ เคยเจอตัวจริงของน้องเค้าแล้ว ผิวขาวจริงๆ ขาวแบบสุขภาพดี ขาวน่าฟัด เอิ๊กๆ น้องเค้าเผย เคล็ดลับทำให้ผิวขาว มาฝาก

เช่นเดียวกับ "น้ำฝน" พัชรินทร์ จัดกระบวนพล นางเอกผิวกะปิประจำวิกพระราม 4 ที่ตกเป็นข่าว ว่าทุ่มเงินฉีดผิวให้ดูใสขึ้นใช้เงินเกือบ 2 แสนบาท งานนี้เธอปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าไม่ได้ไปทำอะไรอย่างนั้นแน่นอน แต่ยอมรับว่าเคยคิดอยากฉีดผิวให้ขาวขึ้นเหมือนกัน แต่พอศึกษาข้อมูลแล้วก็รู้ว่ามันไม่ได้ผลถาวร อีกอย่างกลัวเป็นอันตรายต่อตัวเองด้วย

ด้าน “เอ๋” มณีรัตน์ คำอ้วน ก็ถูกเม้าท์ ว่าพักหลังๆ มานี้เธอดูผิวพรรณใสเด้งขึ้นผิดหูผิดตา เลยไม่รอดพ้นคำครหาว่าไปฉีดผิวขาวมาแน่ๆ ซึ่งงานนี้นักแสดงสาวได้ยืนยันคอเป็นเอ็นว่าไม่เป็นความจริงเลย เพราะปกติเธอเป็นคนกลัวเข็มมาก ที่ตนเองขาวขึ้นเพราะดูแลตัวเองดี

ฉีดผิวขาวอันตราย

เจ้าหน้าที่คลินิกชื่อดังบอกว่าตอนนี้โปรแกรมฉีดดีท็อกซ์ผิวขาว หรือฉีดสารกลูตาไธโอนผสมกับวิตามินซี กำลังเป็นที่นิยมของลูกค้าวัยรุ่นอย่างมากมายแบบฉุดไม่อยู่ โดยตัวยาที่สั่งซื้อจากเยอรมนีได้ฉีดให้ลูกค้าหมดแล้วภายในหนึ่งสัปดาห์ หากต้องการฉีดต้องรออย่างน้อย 3 วัน จนกว่าตัวยาชุดใหม่ที่สั่งซื้อจะมาถึง ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่คลินิกเลเซอร์ด้านความงามอีกแห่งบอกว่า หากต้องการเห็นผลเร็วสามารถฉีดได้เลย 2 เข็มพร้อมกัน ราคาเข็มละ 2,200 บาท โอ้แม่เจ้า

ด้านแพทย์ประจำคลินิกศัลยกรรมชื่อดังอีกแห่งอ้างว่า การฉีดสารกลูตาไธโอนเป็นเหมือนการฉีดโปรตีนเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือด ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย นอกจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด ความดัน หรือโรคหัวใจ หากฉีดประมาณ 5 เข็ม จะช่วยให้ผิวขาวใสได้ยาวนานถึง 6 เดือน แต่ต้องมีการดูแลรักษาผิวโดยทาโลชั่นเพิ่มเติม ตอนนี้วัยรุ่นกำลังฮิตมาก มาฉีดวันละหลายราย ส่วนลูกค้าใหม่ที่มาลองฉีดเข็มแรกแล้วเห็นผลก็มาขอฉีดซ้ำอีก

นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวหลายสำนัก ยังตรวจสอบตามเว็บไซต์ซื้อขายสินค้า พบว่าหลายเว็บไซต์มีผู้นำสารกลูตาไธโอนในลักษณะของยาฉีดมาประกาศขาย อ้างว่านำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศ เช่น เยอรมนี อิตาลี โดยตั้งราคาขายชุดละ 3,800 บาท ซึ่งชุดหนึ่งจะมีสารกลูตาไธโอน 600 มิลลิกรัม 10 หลอด นอกจากนี้ยังมีผู้มาประกาศขอซื้อสารกลูตาไธโอนที่มีปริมาณหลอดละ 3,000 มิลลิกรัมด้วย โดยอ้างว่าซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง "ไมเคิล แจ็กสัน" ได้ฉีดในปริมาณสูงถึง 3,000 มิลลิกรัม อย่างต่อเนื่อง

มาถึงขั้นนี้แล้วผู้เขียนก็ไม่ได้เข้าข้างใคร ในฐานะที่เกิดมาผิวคล้ำ ก็ขออยู่อย่างคล้ำๆ ดีกว่า อย่างน้อยการดูแลรักษาผิวกายที่ดีที่ถูกโดยไม่จำเป็นต้องหาสิ่งแปลกปลอมมาปน เปื้อนร่างกายก็มีอยู่ดาษดื่นหลากหลายวิธีเช่นกัน ถึงกระนั้นแล้วการฉีดผิวขาวอาจจะไม่อันตรายจริงก็ตามแต่ อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อันตรายไปเสียทั้งหมด หากมีใครคนหนึ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้แล้วทำตามและเกิดผลข้างเคียง จะมาโทษกันไม่ได้นะจ๊ะ เพราะทาง อย. หรือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ออกมาระบุอย่างชัดเจนว่า

การนำสารกลูตาไธโอนมาฉีดเพื่อให้ผิวขาวไม่ว่าจะฉีดโดยคลินิกหรือร้านเสริม ความงาม ถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังถือเป็นความผิดทางกฎหมาย เนื่องจากทาง อย.ไม่เคยขึ้นทะเบียนสารดังกล่าวในประเทศไทย และไม่ได้อนุญาตให้มีการนำเข้า ซึ่งหากพบจะถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา มีความผิดการโฆษณาเกินจริง มีโทษปรับถึง 1 แสนบาท นอกจากนี้ยังเป็นการขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว เลขาธิการอย. กล่าวด้วยว่า สารกลูตาไธโอน หากเป็นชนิดรับประทาน กำหนดให้ทานได้ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วย แต่จากการสำรวจตามเว็บไซต์ที่มีการขายสารชนิดนี้โดยมุ่งให้ผิวขาวนั้น มีแนะนำให้รับประทานถึง 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดอาการแพ้ยาจนเป็นอันตรายได้

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ

บริษัทเครื่องสำอางระดับโลก มีสินค้าหลายๆ แบรนด์และราคาแพง มักจะมีแนวคิดที่รองรับความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับงบประมาณ หากแต่ว่า ถ้าเราใจเย็นสักนิดแล้วรออีกเพียง 2-3 เดือนหลังจากที่สินค้าราคาสูงออกวางตลาดแล้ว ถึงตอนนั้นเราก็จะได้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมเหมือนหรือใกล้เคียงกับสินค้า ราคาสูงเหล่านั้น แต่จะมาในรูปแบบราคาย่อมเยากว่า (แต่ไม่ใช่หาซื้อของปลอมมาใช้นะ)

แน่นอนว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีก็มีส่วนช่วยได้มากเหมือนกัน แต่แทนที่จะต้องเสียเงินเสียเวลา และน้ำมันรถไปทำทรีตเมนต์ที่ร้านหรู ทำไมเราไม่ลงทุนซื้อสกินแคร์และครีมนวดหน้าดีๆ มาใช้เองล่ะ เพราะถึงอย่างไรเสีย การทำเองก็ย่อมสะดวกกว่าอยู่แล้ว และของก็ใช้ได้นาน ไม่แพงเหมือนไปทำที่ซาลอนเป็นครั้ง ๆ

การมองข้ามเรื่องการดื่มน้ำเปล่าสะอาดๆ บ่อยๆ เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นแล้วสาวๆ ทุกคนควรจะจิบน้ำบ่อยๆ ให้ได้ปริมาณต่อวันซัก 5-8 แก้ว แต่อย่าดื่มพรวดๆ ทีเดียวล่ะ มันไม่มีประโยชน์เลย เพราะการเทพรวดๆ ลงคอ มันก็เหมือนกับการรดน้ำต้นไม้ทีเดียว ต้นไม้รับไม่ทัน เหมือนกัน ร่างกายคนเราก็ไม่สามารถนำน้ำที่รับประทานเข้าไป ไปใช้ประโยชน์ได้ทัน เท่ากับว่า ลงกระเพาะปัสสาวะหมด เหลือเก็บไว้นิดหน่อย

เรื่องการนอน ก็ควรเป็นการพักผ่อนจริงๆ ติดต่อกันวันละ 6-8 ชั่วโมง เป็นอย่างต่ำ ถ้าไม่ได้จริงๆ ขอให้มีการหลับสนิทซัก 2-3 ชั่วโมงก็อาจจะเพียงพอ ขอย้ำว่า ต้องหลับสนิทเลย เพราะถ้า หลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่ถือว่าเป็นการพักผ่อน

ส่วนที่กล่าวมานี่ คือตัวบำรุงผิวให้สดใสที่ราคาถูกและดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว

Credit : http//:beauty.vwander.com

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คีเลชั่น Chelation

มันคืออะไร? ใครอยากรู้เข้ามาดู คีเลชั่น คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด (ให้น้ำเกลือ) ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือ แม้แต่แคลเซี่ยมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อ และพอกอยู่ ตามผนังหลอดเลือดของเรา เพื่อขจัดออก จากระบบปัสสาวะ ระยะเวลาในการให้น้ำเกลือแต่ละครั้ง ประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง ระหว่างที่ให้น้ำเกลือสามารถ พักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตาม ปกติธรรมดา ภายหลังจากการเสร็จการรักษาสามารถ ประกอบกิจกรรมได้ตามปกติไม่จำเป็นต้องนอนพัก

ประโยชน์ที่ได้รับ

* ขจัดสารพิษตกข้างในร่างกายและระบบหลอดเลือด

* ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

* ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น

* ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรค ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด

* ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี

ล้างพิษด้วย Chelation Therapy ดีอย่างไร ?

โลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้ง น้ำ และอากาศ ดิน อาหาร ทุกอย่างล้วนมี โอกาสที่จะปนเปื้อนสารพิษ โลหะหนักได้ สารพิษโลหะหนักพบได้ในวัสดุก่อสร้าง เครื่องสำอาง ยารักษาโรค อาหารที่ผ่านกระบวนการ ต่าง ๆ แหล่งเชื้อเพลิงผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสุขภาพ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์ ก่อให้เกิดความผิดปกติ ในการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้ความสามารถในการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดความเสื่อมสภาพของอวัยวะในร่างกายอย่างต่อเนื่อง

คีเลชั่นเหมาะกับใคร

* ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือคนในบ้านในที่ทำงานสูบ ฯลฯ

* ผู้ที่มีปัญหาพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย

* ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ

* ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น


* ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือด ตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัวและ ต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต

* ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด,ใส่ขดลวด,ทำบายพาส มาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เร็ว ๆ นี้ การทำคีเลชั่น จะลดปัญหาเหล่านั้นได้

ข้อควรทราบเมื่อต้องการทำ คีเลชั่น

* ควรตรวจร่างกายเพื่อประเมินปัญหาที่เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตรวจประสิทธิภาพการทำงานของไต ก่อนเข้ารับบริการ

* ระหว่างการรักษา ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากขึ้น แนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ เพราะระหว่างการทำอาจ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

* รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามิน แร่ธาตุ พอเพียงต่อการเสริมสร้างและซ่อมแซมร่างกาย

ผลข้างเคียงจากการทำคีเลชั่น

Chelation ระยะแรกบางท่านอาจมีอาการอ่อนเพลีย อันเนื่องจากกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย อาการที่เกิดขึ้น แก้ได้โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำผลไม้และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามความ ต้องการของร่างกาย

สำหรับขั้นตอนการบำบัดรักษาประกอบด้วย

* พบแพทย์เพื่อซักถามประวัติและตรวจร่างกาย อย่างละเอียด โดยจะมีการคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมเป็น รายบุคคล

* ทำการตรวจ LAB พื้นฐานเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ

* ทำการตรวจวิเคราะห์ผลเลือด (Live Blood Analysis) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสามารถบงบอก ภาวะของเลือด

* ในขณะที่เซลล์ยังมีชีวิตซึ่งสามารถประเมินภาวะของร่างกายได้หลากหลาย ครอบคลุมในหลายๆ โรค

* ทำการบำบัดด้วย คีเลชั่นบำบัดตามสูตรยาที่เหมาะสม แก่ผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละราย

* นัดติดตามผลเป็นระยะ ซึ่งระยะเวลาขึ้นกับลักษณะของโรคที่เรามีปัญหาอยู่

Credit : http://beauty.vwander.com

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โยคะเปลี่ยนชีวิต

แม้ปัจจุบันครูส้มจะลาออกจากงานประจำ มาเป็นครูสอนโยคะอย่างเต็มตัวแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยละเลยที่จะออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะอย่างสม่ำเสมอ

“จะตั้งไว้เลยว่าต้องเล่นให้ได้วันละ 1 ชั่วโมง ถ้าวันไหนสอนช่วงเช้าก็จะเล่นช่วงบ่าย และถ้าวันไหนสอนช่วงบ่ายก็จะเล่นช่วง เช้าค่ะ แล้วจะมีเล่นตอนตื่นนอนด้วย ตื่นขึ้นมาก็จะดื่มน้ำ 2 แก้ว เข้าห้องน้ำ แล้วก็เล่นท่าเบาๆ สัก 5 นาที”

เนื่องจากครูส้มต้องสอนโยคะต่อกัน 7 วันเต็ม การพักผ่อนจึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่เธอต้องสะสม พลังงานเพื่อการทำงานที่รัก อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“จะพยายามหลับให้สนิทค่ะ 5-6 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เป็นเพราะเราเล่นโยคะด้วยจึงไม่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ”

ด้านการรับประทานอาหารเธอเลือกแต่สิ่งที่มีประโยชน์ และละเว้นอาหารที่ ก่อให้เกิดโทษโดยคำนึงถึงผลที่ร่างกายจะได้รับมากที่สุด อีกทั้งควบคุมปริมาณอาหารตามหลักการใช้พลังงานอีกด้วย

“เลือกทานอาหารที่มีผักมากๆ และทานเนื้อปลาบ้าง ของว่างระหว่างมื้อก็จะเป็นผลไม้ มื้อเช้าและมื้อกลางวันจะทานเต็มที่เพื่อให้มีพลังในการทำงาน ตอนเย็นเราใช้พลังงานน้อยลงก็ทานน้อย ไม่ทานของหวานของมัน เพราะไม่ดีต่อร่างกายค่ะ”

ส่วนเรื่องของการดูแลจิตใจ ครูส้มจะพยายามคิดในแง่บวกไว้เสมอ แม้ว่าจะเกิดความเหนื่อยล้าจากการทำงานทุกวัน แต่เธอก็มีความคิดดีๆ ที่สร้างกำลังใจแก่ตัวเองได้ทุกครั้งได้ นอกจากนี้เธอยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองด้วยวิธีที่ง่ายมาก นั่นคือการยิ้ม

“ตั้งใจจะฝึกโยคะ และใส่ใจตัวเองแบบนี้ตลอดไป เพราะเมื่อรักในสิ่งใดแล้ว ก็ย่อมขาดสิ่งนั้นไปไม่ได้ และส่วนหนึ่งคือเราบริจาคร่างกายให้แก่สภากาชาด เราต้องดูแลร่างกายให้ดีๆ ค่ะ”

ได้รับรู้เรื่องราวประสบการณ์ความรักสุขภาพของครูส้มแล้ว เชื่อแน่ว่าไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า “ความรัก ทำให้ผู้หญิงสวยและดูดีขึ้นได้” จริงๆ

Credit : http://beauty.vwander.com

สุขภาพดีเพราะมี ความรัก

เอาใจเดือนแห่งความรัก ก็เลยลงเกี่ยวกับความรักมากหน่อยในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพอยู่ดี ความรักกับสุขภาพ ก็เข้ากันได้ไม่แพ้เรื่องอื่นเลยทีเดียว

เริ่มต้นด้วยเรื่องราวจากหนังสือชีวจิต หนังสือสุขภาพที่หลายๆ คนรู้จักดี เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้คุณครูส้ม มีอาชีพเป็นเลขานุการที่ต้องรับผิดชอบงานตลอดทั้งวัน ด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างจริงจังกับงานที่ทำ ประกอบกับมีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว ทำให้สุขภาพไม่ดีเท่าที่ควร เธอจึงมีความคิดที่จะดูแลตัวเอง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายในแบบต่างๆ

“การเป็นเลขานุการต้องวุ่นอยู่กับการนัดหมาย เอกสาร และงานจิปาถะมากมาย ทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย ตอนเด็กๆ ก็ป่วยบ่อย และอ้วนมาก โตขึ้นมาเลยดูอ่อนแอ พอถึงจุดหนึ่งเลยคิดว่าต้องดูแลตัวเองแล้วล่ะ จึงหาวิธีการออกกำลังกายให้เหมาะกับตัวเอง แรกๆ ก็เล่นกีฬาหลายประเภทนะคะ แต่ก็ท้อทุกครั้งไป ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่เหมาะกับตัวเอง”

แต่แล้วการแสวงหาสิ่งที่เหมาะสมของครูส้มก็สิ้นสุด เมื่อได้รู้จักกับ “โยคะ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอพบรักกับ “สุขภาพ”

“มีเพื่อนคนหนึ่งเอาหนังสือโยคะมาให้อ่าน ก็เลยลองทำตาม แล้วชอบมากๆ เลยค่ะ ได้ยืดเส้นยืดสายบริหารร่างกาย ได้เหงื่อ จิตใจปลอดโปร่งสบาย และสมาธิยังดีอีกด้วย ทำให้รักสุขภาพขึ้นมาเลยค่ะ”

เมื่อความรักสุขภาพก่อตัวขึ้น

ความประทับใจในเบื้องต้นทำให้เธอพยายามเรียนรู้ที่จะฝึกโยคะอย่างจริงจัง เพื่อการดูแลสุขภาพที่ได้ประโยชน์สูงสุด ทำให้เธอได้เข้าใจหลักการฝึกโยคะต่างๆ และสามารถฝึกด้วยตัวเองได้

สุขภาพดีเพราะมี ความรัก

“เมื่อมีคอร์สเปิดสอนก็เลยไปเรียนจนเกิดชำนาญ แล้วนำมาฝึกเองที่บ้านทุกวัน ตอนนั้นยังทำงานประจำอยู่ บางวันก็เล่นตอนเย็นหลังเลิกงาน แต่ถ้าเหนื่อยมากก็จะงด นอนจนเต็มที่แล้วค่อยตื่นมาฝึก”

“ต้องมีวินัยในตัวเอง จึงจะส่งผลดี วันไหนมีเวลาจะเล่นนานหน่อย แต่ถ้ามีเวลาน้อยก็จะเล่นเท่าที่มีเวลาค่ะ”

ส่วนท่าโยคะที่เธอเล่นจะสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งท่ายืนและท่านั่ง ท่าเบาและท่าหนัก เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดครบทั้งระบบภายใน และอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย

“ถ้าวันไหนเหนื่อยมากและอยากได้เรื่องสมาธิกับจิตใจ จะเล่นท่าเบาๆ ค่ะ เช่น ท่าแมว ท่าสุนัข ท่างูเห่า ท่าต้นไม้ และท่าสุริยนมัสการ แต่ถ้าวันไหนไม่เหนื่อยมากก็จะเล่นท่าหนักๆ ไปเลย เช่น ท่าสะพานโค้ง ท่ายืนบนไหล่ ท่าคันไถ และท่านักรบเริงระบำ หลังฝึกเสร็จก็จะจบด้วยท่าศพทุกครั้งเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย”

การเล่นโยคะเป็นประจำทำให้สุขภาพของเธอดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในหลายๆ ด้าน

“หลังจากเล่นโยคะมา 5 ปี สุขภาพดีมากไม่เคยเป็นหวัดแม้ว่าจะตากฝน ระบบขับถ่ายก็ดี แถมยังได้เรื่องผิวพรรณด้วย เพราะโยคะจะมีท่าก้ม ท่าฝึกปราณ ท่าเหยียดยืด ทำให้เลือดไหลเวียนดี ที่เห็นผลชัดมากคือผอมลง เพราะรับประทานได้น้อยลง และที่ดีมากๆ อีกอย่างคือตะคริวที่เคยเป็นประจำหายไป นอกจากนี้ยังส่งผลต่อจิตใจด้วย เพราะขณะฝึกเราได้รวบรวมสมาธิ ผ่อนคลายใจ ทำให้หน้าตาเราดูดีสดชื่นแจ่มใสตลอดเวลา ได้ประโยชน์ทั้งสุขภาพและความงาม”

Credit : http://beauty.vwander.com

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คงความเยาว์วัยด้วย Carnosine ดีหรือไม่?

Carnosine หรือ คาร์โนซีน เป็นสารประกอบ ที่มีส่วนประกอบจากกรดอะมิโน 2 ชนิด คือ beta-alanine (เบต้าอะลานีน) และ L-histidine (แอล - ฮิสติดีน) โดยปกติแล้ว สารจำพวกนี้จะพบในกล้ามเนื้อ, สมอง และเนื้อเยื่อ จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า Carnosine จะช่วยลดปฏิกิริยา Glycation (ไกลเซชั่น) ซึ่งปฏิกิริยานี้ จะมีผลต่อ DNA และโปรตีน ซึ่งโดยปกติการที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานจะมีการเกิด Glycation และการเกิดนี้ ตัว DNA และโปรตีนจะถูกทำลายด้วยกลูโคส และผลลัพธ์สุดท้ายจะมีอนุภาพในการทำลายโปรตีน ไขมัน และ nucleic acids (นิวคลิอิก แอซิด) ในปริมาณที่สูง การเกิดสารจำพวก อนุมูลอิสระนี้ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราแก่ เนื่องจากการสูญเสียความชุ่มชื้นของเซลล์ต่างๆ รวมทั้งโปรตีน ไขมันที่จำเป็นในการรักษาระดับความชุ่มชื้น ดังนั้นการรับประทาน Carnosine (คาร์โนซีน) วันละ 1,000 mg (มิลลิกรัม) จะช่วยลดปฏิกิริยา Glycation (ไกลเซชั่น) อันจะช่วยให้เราแก่ช้าลง หรือไม่แก่ก่อนวัย สุขภาพที่ดีก็จะอยู่กับเราไปตราบนานเท่านาน

L-Carnosine

ในปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์มากมายที่ช่วยเสริมการเกิดปฏิกิริยา Glycation เช่น Zinc L-Carnosine ซิงค์ แอล-คาร์โนซีน เป็นอะมิโนแอล-คาร์โนซีน (L-Carnosine) สร้างขึ้นจากกรดอะมิโน 2 ชนิด ได้แก่ กรดอะมิโนแอล-ฮิสทิดีน (L-Histidine) และกรดอะมิโนแอล-อะลานีน (L-Alanine)

สารประกอบซิงค์ แอล-คาร์โนซีน มีคุณสมบัติปกป้องเซลล์เยื่อเมือก (Mucosal Cells) ของกระเพาะอาหารไม่ให้ถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดแผลและช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer) นอกจากจะเกิดจากการเสียสมดุล ระหว่างปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหารกับความ ต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารแล้ว ยังอาจเกิดจากการติดเชื้อเฮลิโคแบกเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor pylori) การใช้ซิงค์ แอล-คาร์โนซีนร่วมกับยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ติดต่อกัน 7 วัน จะช่วยรักษาการติดเชื้อ H. pylori ได้ดีกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะเดี่ยว ๆ

Carnosine (Amino-Peptide) ที่วงเล็บไปด้วยว่าเป็น Amino-Peptide เป็นสลากข้างกล่องของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อ ดังนั้น ความจริงคือ Carnosine ตัวนี้ไม่ได้มีคุณสมบัติในการเป็น cell-signaling แต่เป็นเพียงสารต้านการติดเชื้อ และ antioxidant เท่านั้น

ส่วน Elastin ที่ใส่มานั้นก็เป็นเพียงตัวผนึกน้ำ หรือตัวให้ความชุ่มชื่นเท่านั้น ไม่สามารถลดเลือนริ้วรอยอย่างที่หลายคนเข้าใจ ส่วนผสมอื่นๆ มีเพียงตัวทำให้ข้น/ลื่น ตัวปรับค่า pH chelating agent สารกันเสีย สี และน้ำหอม

Credit : http://beauty.vwander.com

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ สำหรับสาวสวย

การได้ทราบว่า หลักการทานอาหารเช้าอย่างถูกวิธนั้น เป็นสิ่งที่ดีและเป็นกำไรชีวิตอย่างดียิ่ง เนื่องจากหากเรารู้เคล็ดลับแล้ว การทำตามเคล็ดลับ เพื่อนำไปสู่ความสาว สุขภาพดีก่อนใคร ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าแล้วเราจะต้องทานอะไรล่ะ ถึงจะเรียกว่า รู้เคล็ดลับการทานอาหาร ที่เรียบง่าย แต่ทรงคุณค่า หรือ ได้สมดุลตามที่ร่างกายต้องการ วันนี้ผมก็มีรายการอาหารเช้าเพื่อสุขภาพมาฝากกันครับ 5 อย่างต่อไปนี้คือทางเลือกใหม่สำหรับสาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่ไม่มีเวลาทำอาหารเช้า แต่อยากรักษาสุขภาพให้สมดุล

อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ
  • ขนมปังปิ้ง อาหารเช้ายอดฮิตที่ใช้เวลาปรุงเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น แถมยังมีเมนูหลากหลายให้เลือกไม่สิ้นสุด ขนมปังปิ้งกับแยมรสโปรดก็ใช่ ขนมปังปิ้งทาเนยก็ชอบ หรือจะเป็นขนมปังปิ้งจิ้มน้ำผึ้งก็ไม่เลว แต่เพื่อสุขภาพที่ดีมากขึ้นควรเลือกขนมปังโฮลวีทหรือขนมปังธัญพืชเป็นส่วน ประกอบหลัก The American Dietetic Association ให้คำแนะนำว่าใน 1 วันควรรับประทานขนมปังเพื่อสุขภาพอย่างน้อย 3 แผ่น และการรับประทานขนมปังโฮลวีทกับเนยถั่วยังทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มี ประโยชน์มากขึ้นด้วย
  • ผลไม้สด ผลิตผลจากธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามินอันทรงคุณค่า เหมาะกับชั่วโมงเร่งด่วนยามเช้าเป็นอย่างยิ่ง ส้ม 1 ผลให้สารไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย 3 กรัม โปรตีน 1 กรัม และพลังงานจำนวน 60 แคลอรี กล้วย 1 ลูกนอกจากจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์แล้ว ยังมีธาตุโพแทสเซียมซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของแรงดันโลหิตอีก 400 มก. คราวหน้าถ้าคุณสาวๆ บอกกับตัวเองว่า ‘ไม่มีเวลากินอาหารเช้า’ อีกละก็แค่เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบแอปเปิลมากัดสักสองสามคำ ร่างกายก็จะได้รับสารไฟเบอร์ไป 4 กรัม และพลังงานอีก 60 แคลอรีเพียวๆ โดยไม่เสียเวลาแต่อย่างใด
  • ซีเรียล แม้จะเป็นอาหารที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่ซีเรียลก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่สะดวกและเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทาง โภชนาการที่เหมาะกับยามเช้าอันแสนเร่งรีบ แค่รับประทานซีเรียลผสมนมพร่องมันเนยถ้วยเดียวคุณก็ได้รับธาตุไฟเบอร์แบบ เต็มๆ ไปแล้วอย่างน้อย 4 กรัม น้ำตาลอีก 10 กรัม แถมไขมัน 0% อีกต่างหาก
  • เครื่องดื่มจำพวกสมู้ทตี้ อาหารเช้าอันแสนเพอร์เฟคสำหรับสาวที่ไม่ชอบเคี้ยว ถ้าคุณมีเวลาชงกาแฟแล้วละก็ขอแนะนำให้คุณหันมาดื่มเครื่องดื่มจำพวกนี้แทนดี กว่า แค่เอาผลไม้ที่เหลือในตู้เย็นเติมนมไปนิด น้ำแข็งสักก้อนสองก้อนมาปั่นรวมกัน ก็ได้อาหารเพื่อสุขภาพแล้ว แถมยังได้ความสดชื่นเป็นโบนัสยามเช้าอีกด้วย
  • ข้าวโอ๊ต สุดยอดอาหารมหัศจรรย์ที่ใช้เวลาปรุงเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น เพียงเติมน้ำร้อนก็พร้อมรับประทาน ข้าวโอ๊ต 1 ซองอุดมไปด้วยธาตุไฟเบอร์ 3 กรัม และให้พลังงาน 150 แคลอรี แถมยังช่วยลดคอเลสเทอรอล และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจด้วย
Credit : http://beauty.vwander.com

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีสังเกตคนที่ชอบเรา

โดยปกติแล้วสาวๆ มักจะไม่ค่อยได้สังเกตสักเท่าไหร่ ว่าตัวเองนั้นสวยขึ้นแค่ไหน หากลองหาเวลาซักนิดสังเกตุสิ่งรอบตัวแล้วจะพบว่า สายตาหลายๆ คู่โดยเฉพาะสายตาหนุ่มๆ มักจะจ้องมองเราแบบไม่ให้เรารู้ตัว (ยกเว้นพวกเจ้าชู้) ที่จะออกหน้าออกตาว่าพอใจเป็นอย่างมาก

แต่สาวๆ หากสวยขึ้นแล้วมักไม่พ้นสายตาโลมเลียของบรรดาหนุ่มๆ หรือไม่ก็สาวๆ ด้วยกันแบบรู้สึกอิจฉาริษยาอยู่ไม่น้อย วันนี้จะมาบอกว่า สายตาใคร ที่มองเราด้วยความชอบพอ พอใจประมาณว่า อยากอยู่ใกล้ชิดก็ไม่ปาน

วิธีสังเกตคนที่ชอบเรา

1. ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่คอยสังเกตุด้วยการรู้สึกสัมผัสจากส่วนลึกๆ เชื่อแน่ว่า สาวๆ มีสัมผัสที่หกกันทุกคน

2. พยายามอย่าหันไปมองตรงๆ แต่ให้สอบถามเพื่อนหรือกระซิบเพื่อนข้างๆ ว่าให้ช่วยสังเกตุดูว่ามีไหม

3. อย่าพยายามทำตัวให้เป็นจุดเด่น แต่พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะการมองของหนุ่มๆ นั้นไม่ได้มองจากที่เราแกล้งทำ แต่เค้าต้องการมองที่เราเป็นเรา

4. หากรู้ตัวว่าใครแอบมอง ให้ลองหันกลับไปให้เร็วเพื่อสังเกตุสายตา หากมีการหลบ แสดงว่าเจ้าของสายตามีพิรุธ

5. ถ้ามีหนทางและความเป็นไปได้ที่จะมองเห็นเจ้าของสายตา เช่น กระจกสะท้อน หรือถ้าหาไม่ได้ให้ลองเอากระจกแต่งหน้ามาส่องดู

6. เดินเข้าไปถามตรงๆ แต่ไม่แนะนำเนื่องจากหนุ่มๆ จะประเมินเราว่า ง่ายไป หรือต้องการเล่นด้วย

7. อย่าแสดงอาการกระโตกกระตาก เพราะไก่จะตื่น

8. สังเกตุพฤติกรรมการเอาใจแบบผิดหูผิดตา

9. ถามตรงๆ หากใช้เวลานานเกินไปแล้ว

เท่านี้สาวๆ ก็อาจได้คำตอบตรงๆ แต่มีไม่บ่อยครั้งหรอก ที่จะได้คำตอบตรงๆ จากปากของคนแอบชอบเราอยู่ ส่วนมาก จะเฉไฉไปเรื่องอื่นๆ เสียมากกว่า

Credit : http://beauty.vwander.com

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เผยเคล็ดลับความงาม แบบไทย


สมุนไพร ผักหรือผลไม้ที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านนั้น เราล้วนมีสรรพคุณในทางยาทั้งสิ้น ซึ่งไม่เพียงแต่การกินจะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว คุณยังสามารถนำมาใช้กับร่างกายภายนอกได้อีกด้วย นี่คือสารพันสูตรความงามแบบไทยๆ ที่เรารวบรวมมาให้คุณ

งามอย่างไทย

บัวหลวง ซึ่งได้ชื่อว่ามีสรรพคุณทางยาตั้งแต่รากจรดใบ มีคุณสมบัติ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นส่วนสำคัญในการต่อต้านและชะลอการเกิด ริ้วรอย แถมยังมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวขาวเนียน ไม่หมองคล้ำอีกด้วย ปัจจุบันคงหาใช้ได้ยากเต็มที่ มะขาม พืชพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดีนี่แหละ นอกจากจะใช้ทำยา ทำอาหารแล้ว พวกคุณทวดเค้าจะเอามะขามเปียกมาขัดถูผิวเวลาอาบน้ำเพื่อให้ ผิวขาวใส หรือในฤดูที่อากาศแล้ง การขัดผิวด้วยมะขามเปียกจะช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งแตกได้อีกด้วย มะพร้าว มันช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและลมหนาวได้ไม่เท่าไร แต่สาวไทยรุ่นคุณทวดก็ได้น้ำมันสกัดมาจากมะพร้าวนี่เอง ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแตกแห้ง และยังใช้บำรุงผิวให้นุ่มเนียนน่าสัมผัสอีกต่างหาก

เคล็ดลับความงามอย่างไทย

ว่านหางจระเข้ คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมายในเรื่องของความงาม ว่านหางจระเข้ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง ขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำ เราสามารถใช้ว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงผิวได้โดยตรง โดยใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใสที่อยู่ภายใน แต่ก่อนใช้ควรทดสอบก่อนว่าจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำจากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ ทาบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าไม่เกิดเป็นผื่นแดง ก็สามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว เพื่อให้สิวแห้งเร็ว และว่านหางจระเข้ยังช่วยลดความมันของผิวหน้าได้โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงอีก ด้วย

แตงกวา มีเอนไซม์ Cryssin ซึ่งทำให้ผิวหนังที่หยาบกร้านหลุดออกไป และช่วยเผยผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มโดยคุณสามารถใช้แตงกวาสดฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้ววางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดได้โดยตรง เพื่อช่วยสมานผิว

มะขามเปียก มีฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ จึงช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ลองใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี แล้วพอกบริเวณผิวหนังโดยเฉพาะผิวที่หยาบกร้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก หรือบริเวณที่ผิวกร้านดำ เช่น รักแร้ ขาหนีบ จะทำให้รอยดำลดลงได้

กล้วยน้ำว้า ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ลองใช้กล้วยน้ำว้า 1 ลูก ผลผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันให้เป็นครีมข้น แล้วใช้ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

ทุเรียน ช่วยลดปัญหาสิว ลองใช้เนื้อทุเรียนแบบที่สุกพอห่าม หันเป็นชิ้นเล็กๆ 3-5 ช้อนโต๊ะ แล้วปั่นรวมกับดินสอพอง 1 แล้วใช้ทาทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตาและปาก) หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด กำมะถันในทุเรียนจะช่วยให้สิวแห้งเร็วขึ้น

มะม่วงสุก แก้ปัญหาฝ้าและสิว วิธีการก็คือ ใช้เนื้อมะม่วงสุก 1 ผล ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันจนเป็นส่วนผสมข้นๆ ใช้ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ขมิ้นสด มีสาร Curmin และมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและ เชื้อราหลายชนิด ช่วยบำรุงผิวหน้าให้สดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว ลองใช้ขมิ้นสดเล็กน้อยมาปั่นรวมกับดินสอพองและน้ำมะนาวหนึ่งผล จนเป็นส่วนผสมข้นๆ มาให้ทั่วในหน้าที่สะอาด ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ใบบัวบก ช่วยลดเลือนรอยย่นบนใบหน้า วิธีการก็คือใช้ใบบัวบกสดๆ หั่นฝอยประมาณ ? ถ้วยตวงเติมน้ำต้มสุกนิดหน่อย แล้วนำไปปั่นให้เป็นน้ำข้นๆ กรองเอาแต่น้ำ แล้วใช้สำลีชุบทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย เพราะใบบัวบกมีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้ทำงานได้ดีขึ้น

Credit : http://beauty.vwander.com

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ

สมองคือส่วนสำคัญที่สุดของคนในการคิด ฝึกหัด กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ หากสมองขาดการคิดและการกระตุ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ และหากขาดการใช้งานบ่อยๆ เซลล์ต่างๆ ที่สำคัญที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสามารถ ประสิทธิภาพด้านต่างๆ ก็จะดูด่อยค่าลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น คนเราจึงจำเป็นต้องบริหารสมองอยู่เสมอ การฝึกสมองมีหลายเทคนิคให้เลือกใช้ แต่จงใช้อย่างมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด วันนี้จะมาเขียนเรื่องราวของ ทำอย่างไรให้สมองเราสามารถใช้งานได้ดี และมีเทคนิคการฝึกสมองอย่างไร ให้เราเป็นคนฉลาดอยู่เสมอ

เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ

จิบน้ำบ่อยๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการ เห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

ฝึก หายใจลึกๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่ เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

Credit : http://beauty.vwander.com

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาหารชะลอวัย ให้ดวงตา

ดวงตา เป็นหน้าต่างของดวงใจ หากดวงตาไม่สดใจ ฝ้าฟาง มองอะไรก็ไม่เห็น หนุ่มไหนเลยจะกล้าเข้ามาสบตา อาจพาลมองผิดมองถูกไปคว้าเอาหนุ่มไม่ดีมาจะช้ำใจเสียเปล่าๆ การบำรุงสายตาจึงจำเป็นต่อสาวๆ ทุกวัย เนื่องจากตา ต้องการสารเบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน เพราะสารเหล่านี้ช่วยปกป้องดวงตา และบำรุงสายตาให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นเอง...

เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าแครอทมีประโยชน์ต่อดวงตา เพราะมีสารเบต้าแคโรทีนจากสีส้ม (หรือที่เรียกว่าโปรวิตามินเอ) นอกจากนี้ก็ยังมีสารอื่นๆ อีกที่มีประโยชน์ต่อดวงตา ซึ่งช่วยให้การมองเห็นชัดเจน เช่น วิตามินซี อีไนอาซิน รวมทั้งแร่ธาตุจำเป็น เช่น สังกะสีและทองแดง ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชาวเยอรมัน ดร.เอียร์มทรุด วากเนอร์ กล่าวว่า "ผักและผลไม้หลากสีสันมีวิตามิน และเกลือแร่หลากชนิดที่มีประโยชน์ต่อดวงตา โดยเฉพาะสารแคโรทีนนอยด์ ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งมีมากในกะหล่ำเขียว ผักโขม ฟักทอง มะม่วง และข้าวโพด


ประโยชน์ของสารลูทีนกับดวงตา

สารลูทีนเป็นญาติกับเบ ต้าแคโรทีน พบมากใน Macula Lutea ของจอประสาทตาซึ่ง เป็นจุดที่มองเห็นได้ชัดที่สุดที่เยื่อภายในลูกตาสำหรับ รับภาพ ซึ่งสารลูทีนจะทำหน้าที่กรองแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา รวมถึงดวงตาเด็กที่ยังบอบบาง ดักจับอนุมูลอิสระ บำรุงสายตา และป้องกันโรคที่เกิดกับตา

พืชผักที่มีสารลูทีน

* ผักกาดขาว ประมาณ 14.7-39.6 มิลลิกรัม มีสารลูทีน 100 กรัม
* กระหล่ำเขียว ประมาณ 21 มิลลิกรัม มีสารลูทีน 100 กรัม
* ผักโขม ประมาณ 4.4-15.9 มิลลิกรัม มีสารลูทีน 100 กรัม
* บร็อกโคลี่ ประมาณ 1.8-2.4 มิลลิกรัม มีสารลูทีน 100 กรัม
* ต้นหอม 1.9 มิลลิกรัม มีสารลูทีน 100 กรัม
* ฟักทอง ประมาณ 2 มิลลิกรัม มีสารลูทีน 100 กรัม
* พริกหวาน ประมาณ 0.7-2 มิลลิกรัม มีสารลูทีน 100 กรัม

จะเห็นได้ว่า การหาแหล่งบำรุงสายตานั้นไม่ยากเลย เรามาบำรุงสายตากันดีกว่า

Credit : http://beauty.vwander.com

เคล็ดลับในการขจัดรังแคบนศรีษะ


คำว่ารังแค อาจจะเป็นปัญหาในอันดับต้นๆ ที่เกิดกับศรีษะ และเส้นผม ซึ่งหลายคนที่เป็นรังแคนั้น อาจเกิดความวิตกกังวลว่า ที่มีอาการเกิดรังแคเพราะสุขภาพเส้นผมไม่ดี ซึ่งอาจจะทำให้ดูเสียบุคคลิกไปเลยก็ได้ เพราะเวลาไปไหนมาไหน ต้องมานั่งกังวล ปัดซ้ายปัดขวากันคนอื่นเห็นรังแคกันให้วุ่นวาย บางครั้งอาจเสียหน้าหากมีคนเห็น ซึ่งพอจะมีเกร็ดความรู้ถึงสาเหตุของการเกิดรังแค และวิธีการรักษาอย่างง่าย ๆ มาฝาก

เริ่มต้นด้วย งดการใช้น้ำอุ่นสระผม จะเป็นการเพิ่มปริมาณรังแค เพราะทั่วไปนั้นการสระผมด้วยน้ำอุ่นจะไปละลายชั้นไขมัน บนหนังศีรษะออก ส่งผลให้หนังศีรษะแห้งและลอกเป็นขุย เกิดรังแคในที่สุด จึงควรเลิกสระผมด้วยน้ำอุ่น

แสงแดดจัดๆ เป็นตัวการทำลายเส้นผม ทำให้เส้นผมชี้ฟู ขาดน้ำหนัก และไม่เงางาม แสงแดดจะเข้าไปทำลายโปรตีนในเส้นผม และทำให้ผมหยาบ จึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดด และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูที่ช่วยบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก

หลีกเลี่ยงควันบุหรี่จากสิงห์อมควันทั้งหลาย เพราะควันบุหรี่จะเกาะบนเส้นผมทำให้ผมขาดความมันเงา และส่งผลให้สภาพศีรษะแห้งกว่าปกติ ไม่เพียงแต่ควันบุหรี่เท่านั้น ควันอื่นๆ ก็ไม่ควรจะให้โดนเส้นผมมากๆ เช่นกัน

ควรมีการนวดบำบัดเพื่อขจัดรังแคบ่อยๆ ทุกครั้งที่สระผม ควรนวดหนังศีรษะเบาๆ จะช่วยผ่อนคลายความเครียด และขจัดเซลล์หนังศีรษะที่ตายให้หลุดลอกได้ง่ายขึ้น?

ควรเลือกแชมพูที่เหมาะสมกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ และควรล้างแชมพู ให้สะอาดทุกครั้งหลังสระผมเพื่อขจัดสารเคมีที่ตกค้าง

โดย พ.ญ.ภาวาส เทียมเศวต ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงด้านหนังศีรษะและเส้นผม กล่าวว่า การกำจัดรังแคทำได้ด้วยวิธีการง่ายๆ เพียงใช้ยาสระผมที่ช่วยขจัดรังแคอย่างสม่ำเสมอ หลังสระผมควรใช้ผ้าขนหนูที่แห้งสะอาดซับหนังศีรษะและเส้นผม ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยง การใช้ผ้าที่เปียกชื้นและไม่ใช้ผ้าร่วมกับผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการเกาที่ทำให้หนังศีรษะเกิดแผลอักเสบ

นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุสังกะสี วิตามินบี ซีและอี อยู่เสมอ เพื่อบำรุงหนังศีรษะ วิธีเหล่านี้เป็นการรักษาปัญหารังแคเบื้องต้น หากมีปัญหาควรรับการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ เท่านี้ปัญหารังแคก้จะไม่มารบกวนคุณอีกต่อไป

เป็นยังไงบ้าง กับเคล็ดลับในการดูแลเส้นผมและหนังศรีษะ เพื่อลดปัญหารังแคของสาวๆ ทั้งหลาย เคล็ดลับนี้ใช้ได้กับทุกคนเลยทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่ท่านสุภาพบุรุษที่มีปัญหา ในเรื่องหนังศรีษะ

Credit : http://beauty.vwander.com

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โรคกระดูกพรุนคุณผู้หญิง ป้องกันได้

ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจกับโรคกระดูกพรุนกันก่อน ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้กระดูกเปราะ แตกหักง่าย ไม่ว่าจะเป็นกระดูกสะโพก หลัง แขน คอ หรือข้อมือ จากสถิติทางการแพทย์ล่าสุดเผยให้เห็นว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของหญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว หรือที่เรียกกันติดปากว่า ผู้หญิงวัยทอง และผู้หญิงที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปได้รับผลกระทบจากโรคกระดูกพรุน นอกจากนั้นร้อยละ 80-90 ของผู้หญิงกลุ่มนี้ ยังไม่ทราบว่าตนเป็นโรคนี้จึงไม่มีการป้องกันรักษาอย่าง ถูกวิธี

โรคกระดูกพรุน ไม่เพียงทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดทรมานเนื่องจากกระดูกหักเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุให้เกิดความพิการ ทำให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่าที่ควร สร้างผลกระทบทั้งในด้านบุคลิกภาพ ด้านสังคม และสภาพจิตใจ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย โดย รศ.นพ.ฉัตรเลิศ พงษ์ไชยกุล จากภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ศึกษาวิจัยในเรื่อง ปัจจัยเสี่ยงและทางเลือกในการรักษาโรคกระดูกพรุน และพบว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยสะโพกหักเนื่องจากโรคกระดูกพรุน จากร้อยละ 2.1 ในระยะแรก เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 9 ในเดือนที่ 3 ร้อยละ 12 ในเดือนที่ 6 และร้อยละ 17 ในเดือนที่ 12 ตามลำดับ

ทั้งนี้เนื่องจากผลกระทบดังกล่าวข้างต้น นายแพทย์ฉัตรเลิศกล่าวว่า ในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคกระดูกพรุนอยู่ที่ประมาณ 36,500 บาท/1คน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษากระดูกหัก เนื่องจากโรคกระดูกพรุนสูงถึง 116,500 บาท/1คน แต่ผู้หญิงวัยทองส่วนใหญ่ ก็มักไม่เข้ารับการรักษาและวินิจฉัยเสียแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงทำให้ต้องเสี่ยงต่อการกระดูกแตกหักได้ง่าย


โรคกระดูกพรุนคุณผู้หญิง ป้องกันได้

การป้องกันโรคกระดูกพรุน

การป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดี คือ การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กุ้งแห้ง ถั่วแดง ผักคะน้า ฯลฯ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง งดสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และงดยาประเภท เช่น เสตียรอยด์ ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็คือ การได้รับฮอร์โมนทดแทน คือ การยังคงมีประจำเดือน แม้ว่าตามปกติจะหมดประจำเดือนไปแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี เมื่อใช้ฮอร์โมนนี้ไปนานๆ ประจำเดือนก็จะหยุดไปเอง นอกจากนี้ หากใช้ฮอร์โมนทดแทนในขนาดที่ไม่เหมาะสม อาจมีอาการข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ ซึมเศร้า ร้อนวูบวาบ หรือ ปวดบริเวณเชิงกราน ดังนั้นใครควรใช้ฮอร์โมนแบบไหน ขนาดเท่าไร และใช้อย่างไรจึงจะเหมาะสมกับตัวเองนั้น ควรปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด

ดังนั้น หญิงในวัยหมดประจำเดือน จึงควรต้องเรียนรู้วิธีป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน หรือ การบ่งชี้ภาวะของโรคตั้งแต่เริ่มต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปัญหา ด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนจะต้องให้ความรู้ถึง การป้องการรักษาและการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม เพื่อให้ห่างไกลจากโรคกระดูกพรุน สตรีในวัยนี้ควร พบแพทย์เพื่อตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกอย่างสม่ำเสมอ อาหารประเภทแคลเซี่ยมสูงเป็นสิ่งที่จำเป็น นอกจากนั้นยังควรได้รับ ไวตามินดีจากแสงแดดและอาหารประเภทไขมันและน้ำมันปลา ด้วย ซึ่งแพทย์อาจให้รับประทานแคลเซี่ยมเพิ่ม หรือแนะนำวิธีการออกกำลังกายและการปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อไป

ไม่ควรกลัวโรคกระดูกพรุน

จากผลการศึกษาของนายแพทย์ฉัตรเลิศ พบว่าในจำนวนผู้ป่วยที่กระดูกช่วงสะโพกหัก 100 คน มีผู้ป่วยน้อยกว่าร้อยละ 1 ที่เคยได้รับการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก แสดงให้เห็นว่าหญิงในวัยหมดประจำเดือนส่วนใหญ่ ยังขาดความรู้หรือยังละเลย ไม่ให้ความสำคัญของการรักษาโรคกระดูกพรุนเท่าที่ควร ดังนั้น จึงควรมีการรณรงค์ให้ความรู้ให้มากขึ้น เพื่อการป้องกันโรคก่อนที่จะสายเกินไป

ผู้หญิงเมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและจิตใจหลายอย่าง อาทิ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาผิดปกติ หงุดหงิดง่าย ร้อนวูบวาบตามตัว หรือที่เรียกว่าเข้าสู่วัยทอง ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากผู้หญิงในวัยนี้ มีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุน โดยผู้หญิงจะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย เพราะเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยทอง ระดับฮอร์โมนเพศหญิง จะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อัตราการสลายตัวของกระดูกเร็วขึ้นอีก ในขณะที่ผู้ชายไม่มีช่วงที่ฮอร์โมนเพศลดลงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้กระดูกพรุนช้ากว่า

การดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน

ผู้ป่วยควรได้รับแคลเซียม 1200 – 1500 มิลลิกรัม ต่อวัน โดยเลือกทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม (นม 1 แก้ว จะให้แคลเซียมประมาณ 300 มิลลิกรัม) หรือทานแคลเซียมเม็ดเสริม

การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบา, ยกน้ำหนัก สามารถทำให้ความหนาแน่นของกระดูกมากขึ้น ได้โดยผู้ที่สามารถยกน้ำหนักได้ควร เริ่มต้นยกน้ำหนักเบาก่อนจนกระทั่งมวลกระดูกมีความหนาแน่นมากพอ

การรักษาโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนสามารถป้องกันโดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และป้องกันการหกล้มในผู้ที่มีกระดูกบาง รวมทั้งให้ยาเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก

การที่จะเลือกใช้ยาชนิดใดนั้นควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดโรค ความรุนแรงของโรค และผลดีผลเสียของการใช้ยาในผู้ป่วยแต่ละราย ๆ ไป ยาที่ใช้ในการรักษาโรคกระดูกพรุน ได้แก่

1. ยาเม็ดแคลเซียม การรับประทานยาเม็ดแคลเซียมควรปรึกษาแพทย์ก่อน ในคนปกติ การได้รับแคลเซียมในปริมาณมากมักไม่มีปัญหา เนื่องจากแคลเซียมส่วนเกินจะถูกขับถ่ายออกมาในปัสสาวะและในอุจจาระ แต่ในผู้ป่วยที่มีโรคบางอย่าง เช่น โรคตับ โรคไต หรือโรคนิ่วในไต การรับประทานแคลเซียมในปริมาณมากอาจเกิดผลเสียได้

2. วิตามินดี ในร่างกายส่วนใหญ่มาจากการสังเคราะห์ขึ้นเองจากผิวหนัง เมื่อได้รับแสงแดด แต่ในผู้สูงอายุที่มีความเจ็บป่วย นอนอยู่ในบ้านที่มีแสงสว่างน้อย หรือเป็นโรคของลำไส้ อาจเกิดภาวะพร่องวิตามินดีได้ ในกรณีการให้วิตามินดีเสริมอาจมีความจำเป็น การรับประทานวิตามินดีควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์ เนื่องจากการรับประทานที่มากเกินไปอาจเกิดโทษได้

3. ฮอร์โมนเอสโตรเจน เหมาะสมกับสตรีในวัยหมดประจำเดือน หรือสตรีที่ได้รับการผ่าตัดรังไข่ออกทั้งสองข้าง ก่อนจะถึงวัยหมดประจำเดือน ควรอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของแพทย์ และควรตรวจเช็คมะเร็งเต้านมและตรวจภายในเป็นประจำทุกปี

4. คาลซิโตนิน เป็นฮอร์โมนที่สามารถยับยั้งการสลายตัวของกระดูก แต่มีราคาแพง

5.บิสฟอสฟอเนต มีฤทธิ์ในการยับยั้ง การสลายตัวของกระดูก แต่อาจเกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้

6. ฮอร์โมนเพศชาย มีประโยชน์ในชายสูงอายุที่เกิดกระดูกพรุนจากภาวะขาดฮอร์โมนเพศ

7. ฟลูออไรด์ สามารถเพิ่มเนื้อเยื่อกระดูกได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังอยู่ในระหว่างการวิจัยในขนาดที่เหมาะสม

โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ป้องกันได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ การบริโภคอาหารที่ถูกต้องมีคุณค่าการบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เหล่านี้ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ การรักษาที่ดีที่สุดคือ การป้องกันตั้งแต่เริ่มเป็นการเลือกใช้ยาชนิดใดควร อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ที่จะเลือกใช้กับผู้ป่วยเฉพาะราย ๆ ไป

Credit : http://beauty.vwander.com