วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา

ชื่อร้าน : ก๋วยเตี๋ยวปลาสดสี่จ่า
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำข้น, บะหมี่พริกเผาปลาทอด, ปลาลวกจิ้ม
บรรยากาศร้าน : ร่มรื่น สะอาดตา โล่งโปร่งสบาย
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ 27/256 ซ.ลาดพร้าว 101 ม.นครไทยซอย 13 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. เข้าไปในซอยลาดพร้าว 101 ประมาณ 300 เมตร ร้านอยู่ฝั่งขวามือ โดยสังเกตที่ซอยนครไทย 13 ตรงข้ามร้านวีดีโออีซี่ และอู่ประสิทธิยนต์ จอดรถได้ที่หน้าร้านและในซอยนครไทย 13
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10.00 น.-22.00 น. 0-1309-9979
เบอร์โทรศัพท์ : 0-1309-9979

.....................................................................


ชื่อร้าน : ก๋วยเตี๋ยวสองสี่
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยว, เส้นสองสี่, จ้ำบ๊ะ บรรยากาศร้าน : ตึกแถว นั่งสบาย
ที่ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่บริเวณ ซอยสุขุมวิท 55 (ปากซอยทองหล่อ 17)
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชม.
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2391-6576, 0-2391-6577

...........................................................


ชื่อร้าน : เจ๊ปุ๊ย
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา, ฮือก้วย
บรรยากาศร้าน : -----
ที่ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ใกล้ 5 แยกพลับพลาไชย ตรงข้ามประตูใหญ่ วัดพลับพลาชัย
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 9.00 - 15.00 น. หยุดทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2224-4351

....................................................................


ชื่อร้าน : ลิ้มเหล่าซา
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน : ร้านรถเข็น
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : ขับมาตามถนนเยาวราช จนถึงแยกที่มีโรงแรมแกรนด์ไชน่าปริ๊นเซส ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชวงศ์ ตรงไปจนเจอร้าน seven eleven ให้เลี้ยวซ้ายอีกที เข้าถนนทรงวาด ตรงไปเรื่อยๆ ร้าน(รถเข็น) จะอยู่ในตรอกเล็กๆ ขวามือ
เวลาเปิด-ปิด : ขายช่วงเย็นๆ ประมาณ 19.00 น.
เบอร์ โทรศัพท์ : เป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่เก่าแก่มาก ขายมากกว่า 50 ปี โดยจะเน้นว่าเป็นลูกชิ้นปลาเต้นได้ จะเริ่มขายช่วงเย็นๆ ประมาณ 19.00 น.

……………………………………………

ชื่อร้าน : ลิ้มเหล่าโหงว
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน :
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : ขับต่อมาจากร้านที่แล้ว ให้เลี้ยวซ้าย ตรงถนนทรงสวัสดิ์ ร้านจะอยู่ขวามือ หน้า บ.เจียไต๋ ก่อนถึงวัดสัมพันธวงศ์ ส่วนสาขาสะพานเหลืองจะอยู่บริเวณตรอกข้างปั๊มน้ำมัน
เวลาเปิด-ปิด : เบอร์โทรศัพท์ : จริงๆ แล้วเป็นญาติกันกับลิ้มเหล่าซา (ดูชื่อก็คงเดาได้) เพราะเป็นสูตรต้นตระกูลลิ้มเหมือนกัน รสชาติจะต่างกันเล็กน้อย

……………………………………………

ชื่อร้าน : อาซั่ง (เฮียผอม)
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน : เป็นร้านรถเข็นไม่มีชื่อ ขายมาหลายสิบปี
ที่ตั้ง และการเดินทาง : อยู่ที่เวิ้งนครเกษม ซอยนครเกษม 4
เวลาเปิด-ปิด : จะขายทุกวันช่วง 18.30-23.00 น.
เบอร์ โทรศัพท์ : เป็นร้านรถเข็นไม่มีชื่อ ขายมาหลายสิบปีอีกเช่นกัน อาเฮียคนทำชื่ออาซั่ง แปลเป็นไทยว่าเฮียผอม จะขายทุกวันช่วง 18.30-23.00 น. เป็นต้นตำรับของก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาอีกร้านที่ขายช่วงดึกมากๆ ริมถนนเยาวราชฝั่งซ้าย เพราะเจ้านั้นเคยเป็นลูกน้องเฮียแกมาก่อน (ร้านที่เยาวราชก็มีคนทานเยอะมาก)

……………………………………………

ชื่อร้าน : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาแม้นศรี
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน :
ที่ตั้ง และการเดินทาง : มาจากแยกสำราญราษฎร์ ตรงผ่านแยกแม้นศรี รถเข็นจะอยู่ปากซอยที่ 2 ซ้ายมือ หรือซอยแม้นศรีรวมจิตร
เวลาเปิด-ปิด : ขายทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ เวลา 19.00-23.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : ขายมา 20 กว่าปี ดำเนินกิจการโดยเฮียปุ๊ง และเฮียแว่น ขายทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ เวลา 19.00-23.00 น.

……………………………………………

ชื่อร้าน : นายใบ้
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน :
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : ถ้าเริ่มจากสะพานสูงบางซื่อให้ขับมาทางแยกเตาปูน ร้านจะอยู่ทางขวามือริมสะพานแรก ให้สังเกตร้านเฟอร์นิเจอร์ตรงฝั่งตรงข้าม
เวลาเปิด-ปิด :
เบอร์ โทรศัพท์ : จริงๆ แล้วก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้มีชื่อมานาน มีหลายสาขา แต่สาขาดั่งเดิมอยู่ที่วัดเสมียนนารี เยื้องๆ อู่รถสยามเฟิร์สท์ทัวร์ ที่เด็ดจริงๆ คงเป็นลูกชิ้นปิงปองซึ่งใช้ปลาหลายชนิด โดยเพิ่มปลาไซตอ ปลาลิ้นหมา นอกเหนือจากปลามาตรฐาน 3 ชนิด ทำให้เนื้อแน่นเด้งดึ๋ง

……………………………………………

ชื่อร้าน : นิวยืนยง
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน :
ที่ตั้ง และการเดินทาง : มาตามถนนเยาวราช ถึงแยกเฉลิมบุรีเลี้ยวขวาเข้าถนนทรงสวัสดิ์ ร้านอยู่บริเวณทางเข้าลานจอดรถเฉลิมบุรี
เวลาเปิด-ปิด :
เบอร์ โทรศัพท์ : เรียกได้ว่าเป็นร้านรุ่นแรกๆ ของเยาวราชเลย ร้านเก่าแก่มากกว่า 60 ปี (ปิดไปแล้ว) แต่ที่ร้านนี้ขายมา 30 กว่าปี มีหมึกแดงเคยมาชิม

……………………………………………

ชื่อร้าน : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายย้ง
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน : เป็นก๋วยเตี๋ยวปลารถเข็นที่ขึ้นชื่อร้านหนึ่งของย่านนี้
ที่ตั้ง และการเดินทาง : อยู่ถนนทรงวาดฝั่งซ้าย อยู่ระหว่างซอยอาเนี้ยเก็ง และถนนมังกร
เวลาเปิด-ปิด :
เบอร์โทรศัพท์ : โทร 02-437-4082 02-222-6024 ขายมากกว่า 40 ปี ถือเป็นก๋วยเตี๋ยวปลารถเข็นที่ขึ้นชื่อร้านหนึ่งของย่านนี้

……………………………………………

ชื่อร้าน : จิตร ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน : รถเข็นริมทาง
ที่ตั้ง และการเดินทาง : เยื้องธนาคารกสิกรไทย ( สาขาเยาวราช )
เวลาเปิด-ปิด : 22.00-04.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : -

……………………………………………………

ชื่อร้าน : ลี้เฮงกี่
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยว
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา, ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : เลขที่ 107/6 ถนนรางน้ำ เขตพญาไท กทม. 10400 จากปากซอยรางน้ำด้านถนนราชปรารภ เข้าซอยมาประมาณ 50 เมตร ร้านอยู่ฝั่งขวามือ
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน เวลา 09.00-17.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : -

………………………………………………………

ชื่อร้าน : ก๋วยเตี๋ยวปลาวรพจน์
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาและติ่มซำ
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา, ติ่มซำ, เป็ดย่าง, ข้าวหน้าเป็ด
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ตั้ง และการเดินทาง : ร้านอยู่ใกล้กับสวนสันติภาพ ถนนราชวิถี แขวงพญาไท เขตราชวิถี กทม.10400
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน เวลา 10.30-20.30 น.
เบอร์โทรศัพท์ :

……………………………………………………

ชื่อร้าน : ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : เลขที่ 61/46 ถนนบางกอกน้อย-ตลิ่งชัน แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. 10700 อยู่ห่างจากถนนบางขุนนนท์-นครชัยศรี ประมาณ 1 กิโลเมตร
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน เวลา 09.00-17.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2424-4186, 0-2424-8767 ชิมกันมาแล้วหลายสำนักไม่ว่าจะเป็น เปิบพิสดาร ยุทธภูมิกระทะเหล็ก ดิฉัน ไทยรัฐ ขายมากกว่า 50 ปี เมื่อก่อนอยู่แถวศาลเจ้าพ่อเสือ ตอนนี้มี 2 สาขา ที่บางขุนนท์ กับพุทธมณฑลสาย 2 เปิดทุกวัน 09.00-17.00 น.

………………………………………………………

ชื่อร้าน : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาบางอ้อ
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา/หมู
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา, ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู, ส้มตำปูม้า, หมูสะเต๊ะ, ไอศกรีมกะทิสด
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : เลขที่ 708 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 94/1 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กทม. 10700 ร้านเป็นตึกแถว 2 คูหา ติดกับโรงเรียนเทนิคพระราม 6 แต่ถ้ามาจากแยกบางพลัดให้ตรงมาเรื่อยจนเห็นโรงพยาบาลยันฮีทางขวาให้เตรียม กลับรถ
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ที่ 2 และจันทร์สุดท้ายของเดือน เวลา 08.00-20.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2424-7535

………………………………………………………

ชื่อร้าน : จิตร ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน : รถเข็นริมทาง
ที่ตั้ง และการเดินทาง : เยื้องธนาคารกสิกรไทย ( สาขาเยาวราช )
เวลาเปิด-ปิด : 22.00-04.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : -

…………………………………………………

ชื่อร้าน : ลูกชิ้นปลานายง้ำ
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา, ก๋วยเตี๋ยวปลา, ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ 3 ถ.สิบสามห้าง แขวงตลาดหอม เขตพระนคร กทม. ร้านอยู่ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวรวิหาร และอู่รถเมล์ สาย 56
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-19.30 น.
เบอร์โทรศัพท์ : -----

............................................

ชื่อร้าน : จันทบุรี
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ 445 ถ.วิสุทธิกษัตริย์ เขตพระนคร กทม. จากวัดตรีทศเทพไปหัวมุมร้านพลูสินเป็ดย่าง บริเวณสี่แยกวิสุทธิกษัตริย์ เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 30 ม. ร้านอยู่ทางซ้ายมือ
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 09.30-13.30 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2282-6153

................................................

ชื่อร้าน : ลิ้มฮั่วเฮง
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาต้มยำ, ก๋วยเตี๋ยวแห้ง
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ 88 ถ.กรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม.
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 07.00-17.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2281-5369

.................................................

ชื่อร้าน : จิระเย็นตาโฟ
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ
เมนูจานเด่น : เย็นตาโฟ, ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา, เส้นปลาต้มยำ
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ 121 ถ.จักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร กทม. ร้านอยู่ตรงข้ามร้านสหกรณ์พระนคร ข้างๆ ร้านแว่นท๊อปเจิรญ สาขาบางลำพู
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2282-2496

....................................................

ชื่อร้าน : ต.เจริญชัย
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ ถ. พหลโยธิน แขวงคลองถนน เขตบางเขน กทม. ร้านอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล สะพานใหม่
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : ------

........................................................

ชื่อร้าน : ลี่
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา, ยำลูกชิ้นปลาลวก, แฮ่กึ๋นทอด
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ ถ.พระราม 4 เขตคลองเตย กทม. 10110 ร้านจะอยู่ใกล้กับธนาคารกสิกรไทย สาขาคลองเตย
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน ตลอด 24 ชม.
เบอร์โทรศัพท์ : -----

.........................................................

ชื่อร้าน : เป็ดย่างรสเด็ด
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวปลา, ติ่มซำ, หมูสะเต๊ะ, เป็ดย่าง
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ 91/3 ซ.ลาดพร้าว 71 ถ.ลาดพร้าว เขตวังทองหลาง กทม. ร้านอยู่เกือบสุดซอยลาดพร้าว 71
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 07.00-18.45 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2933-0336, 0-2933-1397

.............................................................

ชื่อร้าน : กฤษณา
ประเภทอาหาร : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา
เมนูจานเด่น : ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา, ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลา, หนังปลาสด
บรรยากาศร้าน : ตึกแถว
ที่ตั้ง และการเดินทาง : ตั้งอยู่ที่ 117/5 ถ.สุโขทัย เขตดุสิต กทม. ร้านอยู่ตรงข้ามสวนรื่น (กอ.รมน.)
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 07.30-15.30 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2241-0265

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

52 เมนูอร่อย

1. โจ๊กสามย่าน : ถามใครๆ ก็บอกว่าทีเด็ดอยู่ที่หมูหมักก้อนกลมกล่อม ประกอบกับเปิดขายเฉพาะช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน และช่วงเย็นประมาณหลังเลิกเรียนพอดี เลยกลายเป็นเสบียงให้นิสิตอิ่มท้องจนเรียนจบมาแล้วนักต่อนัก
2. ข้าวราดแกงวัดเล่งเน่ยยี่ : ในซอยมังกรข้างวัดเล่งเน่ยยี่ ถนนเจริญกรุง ขึ้นชื่อในแกงประเภทแกงกะทิ โดยเฉพาะแกงเนื้อ..มาขายตั้งแต่ประมาณ 16.00น. เป็นต้นไป
3. โจ๊กหม้อดิน ซอยมหาดไทย : ใช้หม้อดินมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ เพราะหม้อดินเป็นภาชนะธรรมชาติ ปลอดสารพิษเวลาโดนความร้อน แถมเก็บความร้อนไว้ได้นาน เนื้อหมูใช้หมูที่ไม่มีมัน ส่วนข้าวก็ใช้ข้าวหอมมะลิ ปัจจุบันเปิดขายแฟรนไชส์ แบ่งปันกำไรและความอร่อยกันให้ทั่วๆ สนใจติดต่อที่ โทร.934-3995
4. ข้าวขาหมูสีลม : อยู่ในซอยตรงข้างโรงพยาบางเลิดสิน คนแถวนั้นรู้จักในนามขาหมูโกโก้ ใครอยากมาลองต้องรีบมาช่วงเที่ยง หลังบ่ายโมงไม่รับประกัน เพราะจะขายหมดเร็วมาก
5. ข้าวมันไก่ตอนประตูน้ำ : นอกจากข้าวและไก่จะมีรสดีได้มาตรฐานแล้ว ที่ใครๆ ออกปากเห็นจะเป็นน้ำซุปร้อนๆ หอมและหวานน้ำต้มกระดูกไก่
6. ข้าวหมูแดงสีมรกต : ไม่ต้องสงสัยว่าข้าวหมูแดงทำไมเป็นสีเขียว..จริงๆแล้วคือนามสกุลเจ้าของร้าน มีทีเด็ดตรงที่ทุกอย่างล้วนผ่านกรรมวิธีการย่าง ย่างมาตลอดสี่สิบกว่าปี ร้านอยู่ในตรอกโรงหมู ตรงข้ามวัดไตรมิตร ขายเวลา 11.30น.-22.00น
7. ข้าวขาหมูเหม่งจ๋าย : จากแยกเหม่งจ๋ายมุ่งหน้ามาทางที่จะทะลุถนนเลียบทางด่วน จะเห็นร้านอาหารหลายร้านอยู่ด้านขวามือ ข้าวขาหมูร้านที่ว่าเป็นที่ชื่นชอบของคนรักเครื่องในและหมูกรอบ
8. ข้าวผัดปู : อาหารจีนชนิดอื่นๆ ทั้งกระเพาะปลา รังนก กระทั่งหูฉลาม ทั้งหมดราคาย่อมเยาและรสชาติสมเป็นอาหารจีนแท้ๆ โดยไม่ต้องขึ้นเหลา มีผัดหมี่หยังโจวกับข้าวผัดปูเป็นเมนูหลัก ร้านเปิดขายประมาณ 18.00 น. เป็นต้นไป ที่ห้าแยก ณ ระนอง ตรงข้ามสโมสรการท่าเรือ
9. ร้านเต้าหู้ทอด เผือกทอด น้ำจิ้มรสเด็ด ร้านนี้ขายเฉพาะเสาร์-อาทิตย์เท่านั้นที่สวนจตุจักร อยู่โครงการ 2 ซอย 2 ฝั่งตรงข้ามตลาด อ.ต.ก. ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน น้ำจิ้มรสเด็ดมาก ถั่วลิสงหอมความใหม่ เผือกทอด ข้าวโพดทอด มีแต่เผือกกับข้าวโพดมากกว่าแป้ง
10. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสศรีย่าน : ตู้ใส่เส้นและลูกชิ้นค่อนข้างเก่า เนื่องจากทำมาหลายสิบปี แต่ก็ยังคงความอร่อยของลูกชิ้นไว้เช่นเดิม อยู่บริเวณตลาดศรีย่าน
11. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเด้งได้ : เป็นร้านพี่น้องอยู่ใกล้ๆ กัน บริเวณท่าน้ำราชวงศ์ กระซิบว่าเจ้าของร้านไม่ค่อยอยากให้ลง แต่เพราะความอร่อยของลูกชิ้นและเส้นที่เหนียวนุ่ม เราจึงจำเป็นต้องแนะนำ ใครจะแวะไปชิม กรุณาอย่าบอกว่าอ่านเจอจากที่นี่..ขอบพระคุณค่ะ
12. หมี่กรอบจีนหลี สมัย ร.5 : เรื่องมีอยู่ว่า คุณทวดของเจ้าของร้านอพยพมาจากเมืองจีนมาทำหมี่กรอบขายอยู่ บริเวณท่าน้ำตลาดพลู ซึ่งเป็นย่านที่มีขุนนางอาศัยอยู่เยอะ วันหนึ่งพระพุทธเจ้าหลวงปลอมพระองค์เสด็จฯ ตรวจราชการ แล้วทรงได้กลิ่นหมี่ใกล้สุก เมื่อเสด็จฯ ครั้งต่อๆ มาจึงแวะเสวย และมีพระราชดำรัสให้ไปผัดในวัง ปัจจุบันหมี่กรอบจีนหลียังตั้งอยู่ที่เดิม ขายสิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม
13. ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย สมทรงโภชนา : เจ้าของสูตรซึ่งเป็นชาวสวรรคโลกแท้ๆ เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน พี่วรรณลูกสาวจึงรับหน้าที่ปรุงรสก๋วยเตี๋ยวให้ได้ครบรส เดิมตั้งอยู่ในซอยวัดสังเวช ถนนท่าพระอาทิตย์ เดี๋ยวนี้ขยับขยายขึ้นไปอยู่บนศูนย์อาหารเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
14. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาโบราณ จันทบุรี : ร้านตั้งอยู่เลยวัดตรีทศเทพ เลี้ยวซ้ายไปเล็กน้อย เป็นลูกชิ้นปลาทำเองจากเจ้าของร้าน กิตติศัพท์เรื่องรสชาติมีมาก พอๆ กับการไม่ง้อลูกค้า คนเรื่องมากต้องระวังจะถูกเชิญให้ไปรับประทานร้านอื่น
15. ก๋วยเตี๋ยวไหหลำ : แปลกกว่าก๋วยเตี๋ยวธรรมดาตรงเส้นที่คล้ายเส้นเกี้ยมอี๋ แต่ยาวกว่า ใส่ผักกาดดองตามสูตรไหหลำ เนื้อหมูและวัวเลือกมาอย่างดี อยู่ตรงสะพานขาว ถนนลูกหลวง ใกล้โรงหนังแอมบาสเดอร์เก่า
16. เย็นตาโฟวัดแขก ถนนสีลม : ใครเคยไปบริเวณวัดแขก จะเห็นว่าทุกร้านล้วนขึ้นป้ายว่าเย็นตาโฟวัดแขกเจ้าเก่า แนะนำได้เพียงว่าร้านดั้งเดิมคือร้านที่อยู่ใกล้กับวัดแขกมากที่สุด แต่เรื่องรสชาติต้องลองชิมดูเองว่าร้านไหนจะถูกปากใครมากกว่า ?จานเด่นจานเด็ด?
17. ไก่ย่างแม่วันเพ็ญ : ไก่ย่างและไก่ย่างทอดร้อนๆ ทอดจนกรอบ แล้วโรยเครื่องเทศให้หอม เข้าได้ทั้งจากซอยอาภาภิรมย์ ข้างกรมการค้าส่งออก ถนนรัชโยธิน หรือจากซอยโชคชัย 4 ถนนลาดพร้าวก็ได้ ผู้ไม่คุ้นทางสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 0 1818 2608
18. กระเพาะปลาน้ำแดง : ใช้เวลาเตรียมแต่เช้ามืดเพื่อเปิดขายตอนประมาณสี่โมงเย็นถึงสี่ทุ่ม เพราะต้องเคี่ยวกระดูกไก่นาน 4 ชั่วโมง ผสมกับเครื่องปรุงอย่างดี ทำให้ได้น้ำหอมหวาน แต่เดิมขายในรถ เดี๋ยวนี้กลายเป็นแผงอยู่หน้าที่จอดรถตลาดสวนหลวง ใกล้สนามกีฬาแห่งชาติ
19. อาหารไทย ร้านครัวอรรถรส ซอยเสือใหญ่อุทิศ : มีทั้งก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ส้มตำผลไม้ ขนมจีนน้ำเงี้ยว ฯลฯ รวมไว้ในร้านเดียวกัน เจ้าของรวบรวมอาหารอร่อยจากที่ต่างๆ มาพัฒนารสชาติ ปรับส่วนที่เข้มข้นเกินไปให้อร่อยลงตัวไปอีกแบบ หาร้านไม่เจอ โทรศัพท์ถามได้ที่ 0 2541 7043
20. ส้มตำจตุจักร : ฝั่งตรงข้ามตลาด อ.ต.ก. ผ่านซุ้มหนังสือเก่าเลี้ยวขวา จะเจอร้านส้มตำฝุ่นตลบ ซึ่งมีอาหารอีกหลายอย่างให้เลือก อาทิ ไก่ทอด หมูยอ ก๋วยจั๊บญวน ที่อร่อยอาจเป็นเพราะรอนานจนหิวก็เป็นได้
21. ปลาหมึกย่างสยามสแควร์ : คุณป้าใช้ปลาหมึกสดๆ จิ้มน้ำจิ้มรสเด็ด ราคาอาจสูงไปนิด แต่ก็สมเหตุสมผลกับค่าทำเล และคุณภาพอาหาร อยู่ในสยามสแควร์ ซอย 4
22. ไก่ทอด 7 กระทะ : ไก่ทอดจนกรอบเกรียม รวมกับกระเทียมเจียวร้อนๆ ทำให้มีลูกค้ามากมายมายืนรอ เมื่อไม่ทันใจจึงต้องใช้กระทะถึง 7 ใบ จากแยกรัชดา-สุทธิสาร มุ่งหน้าเข้าแยกที่จะลัดออกสู่ลาดพร้าว อยู่ทางซ้ายมือ
23. ไก่ทอดเจ๊กี : บางคนเรียกไก่ทอดโปโล เพราะตั้งอยู่ในซอยโปโล ตรงข้ามสวนลุมพินี เป็นร้านเก่าร้านแก่ตั้งแต่รุ่นเจ๊กี คือคุณแม่คิดสูตรไก่ทอดโรยกระเทียมเจียวหอม พร้อมอาหารประเภทส้มตำ น้ำตก เปิดบริการตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า มีบริการจัดส่งบริเวณใกล้เคีัยง โทรศัพท์สั่งได้ที่ 0 2655 8489
24. เป็ดย่างพูลสิน : เลยวัดตรีทศเทพมาเล็กน้อย เป็ดย่างสุกกำลังเหมาะจนหนังกรอบ เนื้อนุ่ม ไม่เหนียว
25. ห่านพะโล้ฉั่วคิมเฮง : ตรงมาจากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ข้ามแยกคลองตันมาถนนพัฒนาการ จะเห็นร้านใหญ่ซ้ายมือ ร้านดั้งเดิมปัจจุบันยังอยู่ท่าดินแดง ชื่อฉั่วกิมฮวด เก่าแก่จนได้รับฉายาว่าเป็นห่านสามชั่วคน
26. ไก่ย่างจิรพันธ์ : ร้านขายอาหารอิสลามล้วนๆ นอกจากไก่ย่างยังมีเนื้อสะเต๊ะ ข้าวหมกไก่ แถมด้วย ข้าวหมกแพะ จากถนนรามคำแหงเลี้ยวซ้ายที่แยกพระราม 9 มุ่งหน้าไปทางมอเตอร์เวย์ จะอยู่ทางซ้ายมือ เลยปั๊มเชลล์ไปประมาณ 500 เมตร
27. เนื้อย่างเกาหลี สูตรบึงพลาญชัย : ต้นตำรับดั้งเดิมขายอยู่ใกล้ๆ บึงพลาญ จังหวัดร้อยเอ็ด คุณนิภานำสูตรมาตั้งร้านที่หมู่บ้าน ต.รวมโชค ซอยโชคชัย 4 ถนนลาดพร้าว จุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปรอบๆ หม้อย่างสามารถทานได้เลย เพราะผ่านการปรุงมาแล้ว
28. สะอาด : ขายเสต๊กที่ผ่านการดัดแปลงรสชาติให้เข้ากับคอคนจีนได้เป็นอย่างดี ในร้านยังมีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส เป็นเมนูเด็ดประจำร้าน อยู่บนถนนอิสรภาพ ใกล้สี่แยกบ้านแขก
29. ห่านพะโล้สะพานเหลือง : ผ่านการต้มมาอย่างดีจนเนื้อไม่เหนียวและไม่คาวเหมือนห่านพะโล้ทั่วๆ ไป อยู่ย่านสะพานเหลือง ริมถนนพระราม 4 ถ้ามุ่งหน้าหัวลำโพงจะอยู่ด้านซ้ายมือ ก่อนถึงแยกบรรทัดทอง ?อาหารว่างและของหวาน?
30. ร้านกาแฟโบราณเอี๊ยะแซ : โบราณสมชื่อ เพราะเปิดมาแล้วเจ็ดสิบกว่าปี ใช้เมล็ดกาแฟจากไร่ประจำ นำมาคั่วทำให้ได้รสกาแฟแท้ดั้งเดิม เปิดรับคนตื่นเช้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่งไปจนถึงสี่ทุ่ม ที่ร้านบนถนนเยาวราช-พาดสาย ตรงข้ามเท็กซัสสุกี้ นอกจากนี้ยังหาดื่มได้ตามศูนย์อาหารทั่วกรุงเทพฯ และเซ็นเตอร์พ้อยท์ เอาใจคอกาแฟรุ่นใหม่
31. ขนมเบื้องวังเดิม : สังเกตเห็นได้ง่าย เนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่าขนมเบื้องธรรมดา ใช้แป้งถั่วเขียวละเลงเป็นแผ่น เพราะหอมกว่าแป้งสาลีแล้วเคลือบด้วยไข่ มีให้เลือกทั้งไส้หวาน และไส้เค็ม ชื่อวังเดิมเพราะร้านเก่าอยู่แถววังเดิม เดี๋ยวนี้อยู่ลานอาหารไทย ดิโอลด์สยามพลาซ่า
32. ไอศกรีมทิพรส : ไอศกรีมกะทิหลากชนิด มีให้เลือกทั้งกะทิโบราณ กะทิรวมมิตร และกะทิทรงเครื่อง มีบริการแพ็คกลับบ้านได้ ราคาไม่แพง อยู่บริเวณสี่แยกเตาปูน มุ่งหน้าไปทางตลาดเตาปูน
33. ร้านขนมไทยหวานดำรงค์ : ร้านปัจจุบันเปิดมาตั้งแต่ปี 2508 ได้มรดกทางฝีมือการทำขนมมาจากคุณแม่ ซึ่งเจ้าของร้านถ่อมตัวว่าไม่ได้มาจากวังไหน แต่คุณหญิงหลายๆ ท่านก็มาสั่งทำขนมชั้นขนาดใหญ่ ตะโก้ และขนมเปียกปูน อยู่เสมอๆ ร้านเปิดเจ็ดโมงเช้า ถึงหนึ่งทุ่ม หยุดวันอาทิตย์ อยู่ในตลาดเจริญผล ใกล้สี่แยกเจริญผล หรือจะโทรศัพท์สั่งก็ย่อมได้ ที่ 02215 2345
34. ถั่วแปบ ซอยละลายทรัพย์ : เดิมขายสาคูและข้าวเกรียบปากหม้อ แล้วมาทำถั่วแปบเสริม แต่ด้วยความที่ถั่วแปบเจ้านี้แป้งนิ่มกำลังดี ลูกค้าหันมาซื้อกันมากจนทำไม่ทัน จึงต้องหันมาขายเฉพาะถั่วแปบเป็นหลัก ที่ซอยละลายทรัพย์ถนนสีลม
35. ปอเปี๊ยะ/ มะตะบะ ท่าพระจันทร์ : กรรมวิธีการทอดต่างจากร้านอื่น ตรงทอดแป้งเป็นแผ่นบาง โรยด้วยไส้ นำมาซ้อนกัน 3 ชั้น ห่อด้วยแป้งแล้วจึงทอดอีกครั้ง วิธีนี้จะทำให้มีความกรอบและนุ่มพอดิบพอดี ร้านใกล้ๆ กันขายปอเปี้ยะทอดที่ใส่เครื่องกุ้งและหมูสับเต็มๆ คำ รสดีด้วยเครื่องเทศและความกรอบใหม่
36. โรตีกรอบ หน้าเพาะช่าง : พัฒนามาจากโรตีแผ่นกลมธรรมดา มาเป็นโรตีแผ่นสี่เหลี่ยมทอดจนกรอบ ใส่กล่องหรือใส่จาน แนะนำให้ทานร้อนๆ จะอร่อยเป็นทวีคูณ
37. เซ็งซิมอี๊ : อี๊ หมายถึงแป้งที่ปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ ส่วนเซ็งซิม หมายถึงชื่นใจ เซ็งซิมอี๊ ร้านที่ว่าเป็นร้านสะท้านโลกันต์ อยู่บริเวณตลาดสวนหลวงเช่นกัน ขายช่วงเย็นๆ ไปจนค่อนคืน
38. ลอดช่องสิงคโปร์ : ชื่อร้านประโยชน์ อยู่ระหว่างสามแยกกับวงเวียน 22 เป็นร้านเล็กๆ แต่รสชาติไม่เล็กเหมือนร้าน
39. ไอศกรีมไข่แข็ง : โดยการใส่ไข่แดงล้วนๆ ลงในไอศกรีมกะทิ ความเย็นจะกลบกลิ่นคาวกลายเป็นรสชาติหอมมันแทน ร้านอยู่ถัดจากเซ็งซิมอี๊ที่ตลาดสวนหลวงไปประมาณ 2-3 ห้อง
40. ซ่าหริ่มชูถิ่น : บอกชื่อไป ไม่มีใครไม่รู้จัก ขายทั้งซ่าหริ่มและขนมไทยอีกหลายชนิด คนชอบทำขนมหลายคนดีอกดีใจที่ร้านนี้มีแป้งทำขนมขายพร้อมวิธีทำบอก เสร็จสรรพ แต่จริงๆ แล้วร้านเขาขายแป้งมาแต่เดิมต่างหาก
41. มนต์ นมสด : ชื่อร้านคือชื่อเจ้าของร้าน คุณมนต์ช่วยคุณพ่อทำร้านนม-กาแฟ มาตั้งแต่ 10 ขวบ เริ่มตั้งแต่เป็นรถเข็น ย้ายที่แล้วที่เล่าจนมาได้ที่ปัจจุบันอยู่ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพฯ เปิดขายตั้งแต่ 14.00น. ? 24.00น. เน้นความซื่อสัตย์ที่ขนมปังสังขยาสดใหม่ทุกวันและไม่ใส่สารกันบูด
42. ราดหน้า 4 สี : คือสีของเส้น รวมกับสีน้ำตาลของหมูหมัก สีเหลืองของไข่ดาว และสีน้ำตาลเข้มของหมูแฮม ซึ่งจริงๆ แล้วคือหมูทอดกระเทียม แต่ลูกค้าเห็นว่าอยู่คู่กับไข่ดาว ก็เลยพากันเรียกหมูแฮมจนติดปาก ร้านชิ้งกี่ เคยมีโอกาสรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ รวมทั้งคนใหญ่คนโตหลายๆ ท่านมาแล้ว อยู่ใกล้สวนรมณีย์นาถ ถัดจากซอยร้านหวายนายเหมือนไปหนึ่งซอย
43. ผัดไทยสำราญราษฎร์ : ผัดไทยร้านนี้เป็นผัดไทยกุ้งสดเจ้าแรกของเมืองไทย ตั้งอยู่ตรงข้ามประตูผัดวัดสระเกศ ใกล้ๆ กันมีผัดไทยทิพย์สมัยให้เลือกชิมได้อีกที่ ในบริเวณเดียวกันจะมีอาหารอร่อยหลายร้าน แต่ขอให้ระวังสอบถามราคาก่อน เพราะอาหารบางร้านก็ราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ
44. เย็นตาโฟประตูผี : เลยร้านผัดไทยมาจะเห็นร้านตี๋เย็นตาโฟ อยู่ตรงหัวมุมแยกสำราญราษฎร์ ตั้งโต๊ะขายช่วงกลางคืนเต็มพื้นที่ และคนก็มากพอๆ กับจำนวนโต๊ะ สอบถามได้ความว่าลูกชิ้นมีหลากหลาย และน้ำซุปก็อร่อยเกินหน้าเกินตาเย็นตาโฟร้านอื่น
45. ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ : ร้านที่แนะนำนี้ทำทั้งก๋วยเตี๋ยวคั่ว และก๋วยเตี๋ยวอบไก่ สูตรแรกจะคั่วเส้นกับไข่จนหอมแห้ง อีกสูตรใส่ไข่แล้วปิดฝาหม้อให้กลิ่นอบอยู่ข้างใน อยู่ซอยตรงข้ามโรงพยาบาลกลาง
46. ก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเล : ร้านนี้ขายทั้งคั่วทะเลและคั่วไก่ แต่ที่ขึ้นชื่อจะเป็นคั่วทะเล เพราะใส่ทั้งกุ้งและปลาหมึกให้ด้วย อยู่ในซอยข้างตลาดวรจักร หาไม่ยาก แต่ทางวังเวงเล็กน้อย สาวๆ อยากลอง ควรหาใครไปเป็นเพื่อนสักคนสองคน
47. ข้าวมันไก่เจ๊ยี : ตรงข้ามวัดสระเกศ ขึ้นชื่อเรื่องข้าวมันแสนนุ่ม และไก่ต้มยุ่ยกำลังดี ขายช่วงสายๆ จนถึงกลางวัน ต้องรีบไปเช่นกัน เพราะช้าหมดจะอดชิม
48. ข้าวต้มปลา 5 แยก : บริเวณ 5 แยกพลับพลาไชย ความอร่อยอยู่ที่ความสดของเนื้อปลากะพง ปลาหมึก กุ้ง และหอยนางรมตัวโต เมื่อปรุงกับข้าวต้มร้อนๆ น้ำจะออกมาจากตัวเนื้อ ทำให้ข้าวต้มหอมและหวาน
49. ก๋วยเตี๋ยวหลอด : ก๋วยเตี๋ยวหลอดในซอยข้างสถานีตำรวจพลับพลาพ ก็มีข้อดีที่เส้นนุ่มกำลังดี ไม่เหนียวเกินไป ไม่เละเกินไป และไม่มันเกินไป ทานอร่อยได้ไม่แพ้ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง
50. ก๋วยจั๊บเผ็ด : เนื่องจากตำเม็ดพริกไทยใส่ลงไปตอนทำน้ำต้มกระดูก แถมโรยพริกไทยในชามอีกครั้ง เพื่อให้รสชาติเข้มข้นถึงใจ มีสาขาอีกร้านเป็นญาติกัน เปิดร้านใหญ่อยู่ตลาดเยาวราช แต่ความเข้มข้นอาจจะไม่เท่าเพราะที่นี่อาซิ่มท้าว่า คนเป็นหวัดมากิน..หวัดหายกันมาแล้วทุกราย ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยโรงเลี้ยงเด็ก แต่เจ้าของบอกว่าอยู่ในซอยนาคบำรุงต่างหาก
51. ก๋วยเตี๋ยวหลอดเยาวราช : ร้านแรกเป็นรถเข็น อยู่ต้นถนนเยาวราชฝั่งขวา ก่อนแยกเข้าถนน สังเกตได้จากปริมาณคลื่นคนที่อออยู่หน้าร้าน ลูกค้าบอกว่ามีดีที่เครื่องเยอะและรสชาติเข้มข้น หรือถ้าอยากชิมก๋วยเตี๋ยวหลอดแบบที่ยังคงความเป็นหลอดไว้ ก็ต้องเดินเลยมาอีกนิด อยู่ฝั่งซ้ายมือ ปากซอยที่มีร้าน 7-11 อยู่ด้านใน เด็ด..เช่นกัน 52. ก๋วยเตี๋ยว, เกาเหลา เนื้อตุ๋น เจ้ผอม ตลาดปีระกา อยู่ที่เวิ้งนครเกษม หน้าตลาดสด ร้านนี้น้ำซุปอร่อยมาก เอ็นตุ๋นนุ่มมาก เครื่องในไม่มีกลิ่นคาว รับรองได้ชิมแล้วจะติดใจ

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี.

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

มือ..บอกสุขภาพ

ที่มาจาก http://www.pooyingnaka.com/

อาการนิ้วชา
คุณ รู้สึกว่ามือเย็นและชาๆ บ่อยไหม แม้ว่าอากาศจะไม่ได้หนาวก็ตาม ถ้ามีปัญหานี้ อาจแสดงว่าคุณกำลังเผชิญกับโรคเรย์นอยด์ (Raynaud’s Disease) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ เส้นเลือดบริเวณมือตีบ ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่ดี ทำ ให้เกิดอาการชา นิ้วมือซีดขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ในทางการแพทย์ยังไม่ ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ แต่น่าจะเชื่อมโยงกับการเป็นรูมาตอยด์ และมีแนว โน้มว่ายิ่งอายุมากขึ้นอาการของโรคจะยิ่งเลวร้ายตามไปด้วย

คุณจะทำอะไรได้บ้าง
การ ปรับระบบการไหลเวียนโลหิตคือกุญแจสำคัญ ขิงสามารถช่วยปรับการไหลเวียนให้ดี ขึ้นได้ ลองดื่มน้ำขิงร้อนๆ วันจะแก้ว ส่วนใบแปะก๊วยก็ช่วยการไหลเวียนเลือดได้ ดีเช่นเดียวกัน หรือรับประทานผลไม้จำพวกผลเบอร์รี่ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ ช่วยขยายหลอดเลือด

เหงื่อออกที่ฝ่ามือ
สำหรับบางคนอาการที่เกิด ขึ้นในวัยหมดประจำเดือนทำให้เหงื่อออกที่มือได้ เนื่อง จากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเปลี่ยนแปลง อาจปรับตัว ไม่ทัน มีเหงื่อออกมาเพื่อระบายหรือปรับความร้อนในร่างกายให้เย็นลง หรืออาจเกิด ขึ้นเมื่อคุณมีความเครียดด้วยก็ได้

คุณจะทำอะไรได้บ้าง
สมุนไพร บางอย่างสามารถช่วยลดอาการเหงื่อออกในวัยหมดประจำเดือนได้ ควรหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มร้อนๆ และอาหารรสจัด ซึ่งจะไปเพิ่มความร้อนในร่างกาย หากรู้สึก เครียด ให้หยดน้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์สัก 2-3 หยดลงบนกระดาษทิชชู เอาไว้สูดดม เมื่อรู้สึกเครียด

จุดสีน้ำตาล และริ้วรอยเหี่ยวย่น
รอย จุดสีน้ำตาลที่ปรากฏบนมือ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี เนื่องจากโดนแสง แดดเป็นเวลานาน มักจะเกิดขึ้นกับคนในวัย 40 ขึ้นไป หากเกิดขึ้นกับผิวของคุณ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่คุณต้องหันมาใส่ใจกับการทาครีมกันแดดให้มากขึ้น ส่วนริ้ว รอยเหี่ยวๆ ย่นๆ บนมือก็บ่งชี้ว่าผิวพรรณกำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก

คุณจะทำอะไรได้บ้าง
จุด เหล่านี้สามารถจางลงได้ง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำมะนาวมานวดถูมือเป็นประจำ และอย่า ลืมทาครีมสำหรับทามือที่มีส่วนผสมของสารกันแดด แม้ว่าจะเป็นหน้าฝนก็ตาม การ เลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างผัก ผลไม้สดก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวโดนแผดเผาทำลายจากแสงแดดได้วิธีหนึ่ง หรือ ถ้าต้องการป้องกันอย่างล้ำลึกก็อาจทานอาหารเสริมร่วมด้วยก็ได้

คุณ สามารถวัดอายุผิวด้วยวิธีง่ายๆ โดยการดึงผิวหนังบริเวณหลังมือแล้วปล่อย หาก ผิวไม่กลับคืนเหมือนเดิมในทันที แสดงว่ากำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก ควรดื่ม น้ำให้มากขึ้นให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อคืนความเปล่งปลั่งชุ่มชื้นให้ ผิวเหมือนสมัยสาวๆ

ปวดมือ
หาก คุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ และเริ่มรู้สึกปวดหรือเมื่อยล้า บริเวณมือและข้อ นั่นเป็นเพราะคุณพิมพ์ดีดเป็นเวลานานเกิน ทำให้เส้นเอ็นถูกใช้ งานมากเกินไป จนรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณมือ

คุณจะทำอะไรได้บ้าง
ควร พักจากการใช้คอมพิวเตอร์ไปทำอย่างอื่นเสียบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นบิด ขี้เกียจคลายความเมื่อยล้า หรือเดินบ้าง อาจลุกไปชงกาแฟ หรือจะนั่งออกกำลังให้ มือด้วยวิธีง่ายๆ ก็ได้ เริ่มโดยกำมือให้แน่นประมาณ 10 วินาที จากนั้นคลายมือ ออกโดยพยายามกางนิ้วมือให้ยืดออกมากที่สุดเท่าที่จะยืดได้ แล้วปล่อยมือตามปกติ ก่อนจะทำซ้ำตั้งแต่เริ่มอีก 5-10 ครั้ง

ผื่นแดง
ผื่น แดง และอาการแสบร้อนที่มักเกิดบริเวณหลังมือ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการแพ้สาร เคมี อย่าง ผงซักฟอก หรือพวกน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ และบางครั้งอาจจะเกิดจากการ ใช้ถุงมือยางเป็นเวลานาน จนทำให้ผิวอ่อนบาง แพ้ง่าย โดนอะไรนิดหน่อยก็คันและ เป็นผื่นง่าย

คุณจะทำอะไรได้บ้าง
ทา ครีมสำหรับลดผื่นคัน หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดอาการผื่นแดงขึ้นอีก สามารถ เสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวด้วยการนวดด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันจากเมล็ด อัลมอนด์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และพยายามหลีกเลี่ยงสารเคมีที่แพ้ ไปใช้พวก ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีนั้นๆ แทน

หัตถศาสตร์ : ศาสตร์แห่งการดูลายมือ
นัก อ่านลายมือเชื่อว่าเส้นสำคัญที่เชื่อมโยงกับสุขภาพของคนเราคือเส้นชีวิต ลอง มองดูที่มือข้างซ้ายสิ จะเห็นจุดเริ่มต้นของเส้นชีวิตจะอยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่ มือกับนิ้วชี้โค้งยาวลงไปถึงฐานของมือ เส้นนี้แสดงถึงระดับพลังอันเข้มแข็ง ขณะ ที่เส้นเล็กๆ ที่แยกออกไปจากเส้นนี้บ่งชี้ว่าเจ้าของฝ่ามือกำลังเผชิญกับความ เครียด เส้นสมอง อยู่ถัดขึ้นไปจากเส้นชีวิต เชื่อมโยงกับเรื่องของอารมณ์ สุขภาพ จิต หากมีเส้นตัดจนเกิดเป็นแท่งเล็กๆ แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือ กังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่

เส้นหัวใจ
เป็น เส้นที่อยู่บนเส้นสมอง เส้นนี้จะบอกเกี่ยวกับชีวิตรักและสุขภาพ ของหัวใจ ถ้ามีจุดๆ เกาะกลุ่มกันเหมือนเกาะเล็กๆ แสดงว่าคุณมีแนวโน้มที่จะมี ปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด ส่วนเส้นสุขภาพ คือเส้นระหว่างนิ้วก้อยและนิ้วนางที่ โค้งลงไปถึงฐานของนิ้วหัวแม่มือ เป็นเส้นที่บ่งชี้ถึงสุขภาพกาย ถ้าเห็นไม่ชัด หรือไม่มีเส้นนี้ แสดงว่าสุขภาพของคุณยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

นวดกดจุด
นัก นวดกดจุดเชื่อว่าจุดต่างๆ บนฝ่ามือนั้นเชื่อมโยงกับอวัยวะส่วนต่างๆของร่าง กาย การนวดกดจุดเหล่านี้สามารถช่วยวิเคราะห์และรักษาอาการผิดปกติต่างๆ ของอวัยวะเหล่านั้นได้ อย่างอวัยวะที่เป็นคู่ เช่น ปอด จะเชื่อมโยงกับจุดบนมือ ทั้งสองข้าง ขณะที่อวัยวะใดที่อยู่ด้านซ้ายของร่างกายก็จะเชื่อมโยงกับจุดบนมือ ซ้าย เช่นเดียวกับอวัยวะด้านขวาก็จะปรากฏตำแหน่งของมันอยู่ที่มือขวา นักบำบัดจะ รู้เมื่อกดลงไปเจอจุดบอบบางหรือก้อนเล็กๆ ว่ามันกำลังบ่งชี้ถึง “พลังอันอ่อน ล้า” ของอวัยวะส่วนใด

คุณสามารถนวดกดจุดฝ่ามือได้ด้วยตัวเอง โดย
- ลดอาการคั่งของเลือด : นวดปลายนิ้วโดยเริ่มจากนิ้วก้อยแล้วไล่ไปเรื่อยๆ จนถึง นิ้วหัวแม่มือ จะช่วยลดอาการของไซนัสได้
- ลดความเครียด : บริเวณที่ติดกับฐานของนิ้วหัวแม่มือเชื่อมโยงกับต่อมควบคุม เกลือและน้ำของร่างกายซึ่งจะทำงานหนักเมื่อคุณเครียด ลองนวดเบาๆ สิ จะช่วยลด ความตึงเครียดในวันอันแสนยุ่งเหยิงของคุณได้ดีทีเดียว

การอ่านลายมือแบบจีน
ทางตำราแพทย์จีน รูปทรงของมือสามารถบ่งบอกถึงบุคลิกของคุณได้นะ มาดูสิว่าคุณ เป็นคนแบบไหนบ้าง
- ฝ่ามือทรงสี่เหลี่ยม-นิ้วสั้น : เป็นคนใฝ่รู้ ชอบฝึกฝนทดลองและขยัน
- ฝ่ามือยาว-นิ้วสั้น : เป็นคนที่มีลางสังหรณ์ และบางครั้งก็หุนหัน ใจเร็ว
- ฝ่ามือยาว-นิ้วเรียวยาว : เป็นคนอ่อนไหวและมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว
- ฝ่ามือเป็นสี่เหลี่ยม-นิ้วยาว : เป็นคนฉลาด ไหวพริบปฏิภาณดี

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ใครอยากลด....คลอเรสเตอรอล...บ้­าง ?

นอกจากการออกกำลังกายจะเป็นการลดระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกายลงแล้ว การที่เราพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคลอเรสเตอรอล ก็น่าจะเป็นวิธีการที่ดี โดยสามารถทำได้ดังนี้

-หลีกเลี่ยงไข่แดง เครื่องในสัตว์ สมองสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เช่น ปลาหมึก กุ้ง หอยนางรม
-หลีก เลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน หรือใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันสัตว์ น้ำมันพืชที่สกัดจากเมล็ดพืชจะมีกรดไลโนเลอิก ที่เป็นตัวนำคอเลสเตอรอลไปเผาผลาญได้ดี
-หลีกเลี่ยงน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ ไขมันปรุงแต่ง
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ที่มีมันสัตว์ติดอยู่มาก เช่น หมูสามชั้น หมูกรอบ เบคอน กุนเชียง ไส้กรอก
-หลีกเลี่ยงหนังสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นหนังปลาบางๆ เช่น หนังปลาทู หนังปลาสลิด หนังปลาช่อน
-หลีกเลี่ยงขนมหวาน โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของนม เนย กะทิ ไข่แดง เช่น เค้ก คุ้กกี้ ขนมอบต่างๆ ไอศกรีม แกงบวดต่างๆ สังขยา หม้อแกง ฯลฯ
-งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ จะสะสมเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้
-งดบุหรี่ จะช่วยเพิ่มเอชดีแอล คอเลสเตอรอล
-ควรดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมที่มีไขมันเต็มส่วน รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนมก็ควรเลือกที่ไขมันต่ำ
-รับประทานเนื้อปลา แต่ควรหลีกเลี่ยงไข่ปลา พุงปลา ซึ่งมีคอเลสเตอรอลสูง
-ควรเพิ่มอาหารพวกผักใบต่างๆ และผลไม้บางชนิดที่มีกากใย เช่น ผักคะน้า ผักกาด ฝรั่ง ส้ม ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไขมันน้อยลง
-พยายาม ลดน้ำหนักตัว ในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน การรู้จักเลือกวิธีประกอบอาหารและส่วนผสมที่เหมาะสม จะช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการประกอบอาหารต่อไปนี้ อาจช่วยคุณได้
-ก่อนประกอบอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ควรตัดส่วนที่เป็นหนังและไขมันออกก่อน
-เลือกรับประทานปลาทูน่ากระป๋องชนิดในน้ำเกลือ ถ้าเป็นปลาทูน่าในน้ำมัน ควรเทน้ำมันทิ้งให้หมด
-หลีกเลี่ยงการประกอบอาหารด้วยการชุบแป้งทอด ซึ่งจะทำให้อมน้ำมัน
-เปลี่ยนแปลงการปรุงอาหารเป็น นึ่ง ต้ม อบ ย่าง ยำ แทนการทอดหรือผัด
-ควรย่างเนื้อสัตว์บนตะแกรง เพื่อให้น้ำมันหยดออกได้ และหลีกเลี่ยงการทาด้วยเนย กะทิ ระหว่างย่าง
-หากจำเป็นต้องทอด ควรเลือกใช้กระทะที่ไม่ติดอาหาร โดยใช้น้ำมันให้น้อยที่สุด
-หากจะทำแกงกะทิ ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นแกงป่า ซึ่งไม่ใส่กะทิแทน หรืออาจใช้นมพร่องไขมันแทนกะทิ
-อาหารประเภทอบ ให้ใช้เนย นม ที่มีไขมันต่ำ หรือลดปริมาณเนย นม ที่ต้องใช้ลงจากปกติ ใช้ไข่แดงเป็นส่วนผสมให้น้อยที่สุด
-ซุปใส นำไปใส่ในตู้เย็น ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วตักส่วนที่เป็นไขมันออก
-ซุปข้น ที่ต้องใช้ไขมันเป็นส่วนประกอบ ให้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทไขมันต่ำแทน หรือใช้แป้งข้าวโพด เมื่อต้องการให้ซุปข้น
-หลีก เลี่ยงการทำอาหารด้วยการใช้น้ำตาล เกลือ กะทิ เนย ในปริมาณมาก แต่อาจเพิ่มรสชาติด้วยเครื่องเทศ หรือใช้ซอสมะเขือเทศหรือน้ำสับปะรดหมักอาหาร เพื่อเพิ่มรสชาติ
-เพิ่มรส ชาติอาหารด้วยเครื่องปรุงอาหารประเภทสมุนไพร เช่น รากผักชี กระเทียม พริกไทย ขิง ข่า ใบมะกรูด กระชาย ใช้เครื่องปรุงที่มีรสเค็มแต่น้อย หลีกเลี่ยงผักดอง ผลไม้ดอง น้ำจิ้มต่างๆ ในปริมาณมาก

จะเห็นว่าถ้า เราควบคุมการรับประทานอาหาร ก็น่าจะทำให้เรามีร่างกายที่แข็งแรง เสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่าย โดยเฉพาะไขมันอุดตันในเส้นเลือดจากระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกายที่สูงเกิน น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นควรหันมาใส่ใจพฤติกรรมการรับประทานของพวกเรากันดีกว่าครับ

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

เวลากินยาก่อนหรือหลังอาหารมีคว­ามสำคัญเพียงใด

พอ. สังสิทธิ์ วรชาติกุล
กองเภสัชกรรม รพ. ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ลำปาง

การ ที่จะทราบว่าการกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไรนั้นเราต้องทราบ ก่อนว่าขั้นตอนที่ยาจะไปออกฤทธิ์นั้นเป็นอย่างไร เวลาเรากินยาเข้าไป ถ้าเป็นยา เม็ดหรือแคปซูล ยานั้นจะแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ก่อน แล้วละลายในน้ำ ซึ่งอยู่ใน กระเพาะและทางเดินอาหาร หลังจากนั้นก็จะถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหาร เข้าสู่ กระแสเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป แต่ถ้าเป็นยาน้ำขบวนการนี้ก็จะเร็ว ขึ้น

ยาจะออกฤทธิ์เมื่อได้เข้าไป อยู่ในกระแสเลือดแล้ว และต้องมีปริมาณสูงพอด้วย อาหารบางอย่างมีผลต่อการดูดซึมของยา ยาบางตัวก็มีผลต่อกระเพาะอาหาร เช่น ทำให้ เกิดการระคายเคือง ดังนั้น การกินยาก่อนหรือหลังอาหาร จึงมีความสำคัญขึ้นกับว่า ต้องการผลการของยาในแง่ใด ปกติเมื่อกระเพาะมีอาหารอยู่เต็ม ยาจะถูกดูดซึมเข้า กระแสเลือดได้น้อยกว่า และใช้เวลามากกว่าเมื่อกระเพาะว่าง

จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันที, หลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อม อาหาร จะมีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งถือว่ากินยาในห้วงเวลาที่กระเพาะ อาหารไม่ว่างเหมือนกัน ดังนั้นเราจะกำหนดเวลาไปด้วยว่ากินก่อนอาหารหรือหลัง อาหารนานเท่าใด จึงจะได้ผลตามที่ต้องการ
จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขปดังนี้

กิน ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง เพราะเราต้องการให้ได้รับยาขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ยาพวก ที่ต้องกินแบบนี้ได้แก่ เพนนิซิลลิน, แอมพิซิลิน, ไรแฟมพิซิล เป็นต้น บางทีเรา ก็ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ (จะกินก่อนอาหารนานเท่าใดขึ้นกับ เวลาตั้งแต่เริ่มกินจนถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ซึ่งยาแต่ละตัวจะแตกต่างกันบ้าง) เช่น ยาที่ลดการเกร็ง หรือบีบตัวของกระเพาะและทางเดินอาหารคนที่เป็นโรคกระเพาะ นั้นมักจะปวดท้อง เมื่ออาหารตกไปถึงกระเพาะ เพราะอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะ ลำไส้บีบตัวมากขึ้น จึงต้องให้ยาออกฤทธิ์ ลดการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ โดยกินยา ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์พอดีเวลาอาหาร ซึ่งจะบรรเทาอาการ ปวดท้องได้ ยังมียาที่กระตุ้นให้เกิดการอยากอาหาร ก็ต้องกินก่อนอาหารประมาณ 1/2 ชั่วโมง พอยาออกฤทธิ์ จะกินอาหารได้มากขึ้น

กินหลังอาหารทันที = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร

ยา บางตัวหากกินตอนท้องว่างจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารมาก ทำให้ คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้ากินพร้อมอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองได้ ยาพวกนี้ได้แก่ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ เช่น แอสไพริน, ยาแก้ปวดข้อ เช่น เพนนิลบิวทาโซน, ไอบูโป รเฟน, อินโดเมดทาซิน เป็นต้น นอกจากกินพร้อมอาหารแล้วยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แอสไพริน การกินน้ำตามมาก ๆ เพื่อไปเจือจาง หรือลดความเป็นกรดให้น้อยลง ก็ช่วย ลดการระคายเคืองได้
กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

ยา บางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรดซึ่งมีผู้ทดลองได้ผลว่า ถ้าให้ยาในขณะที่ท้องว่าง ยาจะออกฤทธิ์นานประมาณ 30 นาที แต่ถ้าให้ยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง ดังนั้นจึงกำหนดให้กินหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

ไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, หลังอาหาร, พร้อมอาหารมาแล้ว ขอพูดถึงยากินก่อนนอน สักเล็กน้อย ยาบางชนิดกินแล้วทำให้ง่วงมึนงง เช่น ยาคลายกังวล, ยาแก้แพ้ซึ่ง เป็นส่วนผสมของยาแก้หวัด ลดน้ำมูก จึงควรกินก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ปลอดภัย ในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือขับรถในเวลากลางวันแล้ว ยังทำให้หลับได้ อย่างสบายในเวลากลางคืนอีกด้วย

จึง ขอสรุปได้ว่า จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการให้ยา นั้น ๆ ออกฤทธิ์ให้ได้ผลมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ส่วนจะก่อน - หลัง นานเท่าใดนั้น ขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินยาจนถึงเวลาที่ยาถูกดูดซึมเข้าผนังทาง เดินอาหารหมด หรืออาจเลยไปถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์แล้วแต่ว่าเราต้องการผลอันไหน
คงจะเห็น แล้วว่า เวลากินยาก่อนหรือหลังอาหารมีความสำคัญเพียงใด ดังนั้นเพื่อผล การรักษาที่ดีที่สุด ผู้ป่วยควรกินยาตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ผลดีก็จะ ตกอยู่กับตัวของผู้ป่วยเอง

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

สูตรแก้แฮงค์นำมาฝากสำหรับนักดื่ม

*วันนี้เรานำสูตรแก้แฮงค์มาฝากสำหรับนักดื่มทุกท่าน ว่าทำอย่างไรถึงจะหายมึนแล้วกลับมาสดชื่นเหมือนเดิมได้ แต่ถ้าจะให้ดีอย่าดืมกันจนแฮงค์เลยน่ะค่ะ เอาพอหอมปากหอมคอพอ

1. ก่อนดื่มเหล้า ประมาณ 1 ชั่วโมง กินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน รองท้องไว้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ ควร ทำแกงประเภทจับฉ่าย ซึ่งมีกะหล่ำปลีเยอะๆ กินไว้ก่อน

* *2. ระหว่างดื่มเหล้า เลือกเหล้าขาวๆ หรือสีจางไว้ก่อน ควรจะผสมน้ำ ไม่ควรผสมโซดา เพราะ โซดาจะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านไปถึงสมองเร็วขึ้น ระหว่างกินเหล้าควรกินถั่วหรือของว่างประเภท โปรตีนพร้อมๆ กันไปด้วย

* *3. หลังดื่มเหล้า ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ (เช่น ดอกคำฝอย ลูกใต้ใบ เป็นต้น) 2-3 แก้ว ก่อนนอนกิน ของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือน้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้า อาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพร น้ำมะนาว คั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ ถ้าเรอได้เมื่อไหร่ ก็หายเมาค้างแน่นอนครับ

* *4. ควรจะหาวิตามิน บี 6 ติดกระเป๋าเอาไว้ ระหว่างการดื่มก็กินวิตามินสักครั้งหนึ่ง เพราะภาย หลังจากงานเลิกคุณจะไม่มีอาการมึนเมา หรือถ้ามีก็ไม่มากจนทำให้คุณควบคุมตัวเองไม่ได้ วิตามิน บี 6 ช่วยลด อาการเมาค้างลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งเมื่อคุณตื่นเช้าขึ้นมา มันจะช่วยไม่ให้คุณทรมานจากอาการปวดหัวเนื่องจาก เมาค้าง นอกจากนั้นเมื่อตอนกินเหล้า ก็ควรจะกินของหวานเป็นกับแกล้มไปด้วย เพื่อเป็นการชดเชยน้ำตาลในร่าง กายที่สูญเสียไป

* *5. รางจืด...แก้เมาได้ชะงัดนักแล สรรพคุณรางจืดตามตำรายาไทยกล่าวไว้ว่า รางจืดรสเย็นใช้ปรุง เป็นยาเขียวถอนพิษไข้ ถอนพิษสำแดง และพิษอื่นๆ ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ สำหรับในหมู่นักเลงเหล้ารุ่นเก๋ากึ๊ก ย่อมรู้ดีว่ารางจืดช่วยถอนพิษสุราด้วย จากประสบการณ์ผู้ใช้ สิ่งที่ยอมรับคือ หากดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอา การแฮงก์โอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดถอนได้แน่ หรือตามประสบการณ์ในวงเหล้า หากเคี้ยวหรืออมเถารางจืดไว้ ใต้ลิ้น ดื่มเหล้ามากแต่จะเมาน้อย สรรพคุณที่ฮิตที่สุดของรางจืดในปัจจุบันเห็นทีจะไม่พ้นการแก้อาการเมาค้าง หรือดื่มหนัก วิธีใช้ว่ากันตามแบบฉบับคลาสสิก ใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำ ผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าวยิ่งดี แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้ง ซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้ คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีนนั่นแหละ ส่วนความเข้มของยาแล้วแต่จะ ชงอ่อนชงแก่ ปัจจุบันมีผู้นำชารางจืดมาทำการค้าหลายราย สามารถเลือกใช้ตามดุลพินิจ

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

เตือนห่วงสุขภาพตับ งดกินพาราฯควบกาแฟ

นักวิจัยแนะงดดื่มกาแฟระหว่างกินยาพาราเซตามอล

เอเจนซี - เตือนการดื่มกาแฟระหว่างกินยาพาราเซตามอล อาจทำให้ตับเสียหายรุนแรงพอๆ กับการกินยาแก้ปวดขณะดื่มเหล้า


ปกติ แล้ว การกินยาพาราเซตามอลเกินขนาดแค่เล็กน้อยก็สามารถทำให้ตับเสียหายถาวร นอกจากนั้น นักวิจัยยังรู้ดีว่า การดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจำนวนมาก อาจทำปฏิกิริยาให้ยาชนิดนี้กลายเป็นพิษมากขึ้น กระนั้น งานวิจัยนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ชี้ว่าการกินยาพาราเซตามอลและดื่มกาแฟ อาจส่งผลร้ายเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน มีการเติมคาเฟอีนลงไปในยาพาราเซตามอล เพราะเชื่อว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระงับปวด ทว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันเห็นว่า ควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนระหว่างกินยาพาราเซตามอล


ดร.ซิ ด เนลสันแจงว่า ข้อแนะนำนี้ไม่ได้หมายความให้เลิกกินยาพาราเซตามอลหรือเลิกกินผลิตภัณฑ์ที่ มีคา­เฟอีน เพียงแต่ต้องระวังมากขึ้นถ้ากินพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะถ้าดื่มแอลกอฮอล์มาด้วย


ในการศึกษานี้ นักวิจัยใช้แบคทีเรียอีโคไลที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมให้ผลิตสารเคมีสำคัญ ที่ป­อดใช้ในการย่อยสลายยาพาราเซตามอล นักวิจัยพบว่าเมื่อผสมพาราเซตามอลกับคาเฟอีนในปริมาณมาก จะทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อตับเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า


ดร.เนล สันอธิบายว่า สำหรับคนปกติ ปอดจะเสียหายรุนแรงหากดื่มกาแฟ 20-30 แก้วระหว่างกินยาแก้ปวด แต่สำหรับบางคนอาจได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันแม้กินยาแก้ปวดหรือกาแฟไม่มาก นัก เช่น คนที่กินยาแก้โรคลมบ้าหมู หรือเซนต์จอห์นส์เวิร์ต ซึ่งเป็นสมุนไพรบำบัดอาการซึมเศร้า ที่มีฤทธิ์ทำให้ร่างกายผลิตสารพิษออกมามากกว่าปกติเมื่อตับย่อยสลายพาราเซตา มอล

นอกจากนั้น วารสารเคมิคัล รีเสิร์ชรายงานว่า ตัวคาเฟอีนเองสามารถทำลายตับของหนูที่เป็นโรคตับอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน เดือนที่ผ่านมา มีข่าวว่าพนักงานเสิร์ฟสาวคนหนึ่งในอังกฤษ ถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการไข้ขึ้นสูงและใจสั่น หลังซดเอสเปรสโซไป 14 แก้ว

อนึ่ง แม้พาราเซตามอลมีประโยชน์มากกว่าแค่ระงับปวด โดยมีการวิจัยก่อนหน้านี้ว่า ผู้หญิงที่กินยานี้เป็นประจำมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่ลดลง 30% ทว่า หากใช้ไปนานๆ อาจเป็นอันตรายต่อตับและไต รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดสมอง

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ล้างพิษใน 1 วัน..ที่คุณทำเองได้

คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็ง แรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้าย แรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย

หัวใจ สำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และ อาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดี แล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ลส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2อย่างคือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรี สูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้า เลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุก หรือส้มตำ(มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอ กับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อย ที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาว ลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็ก ส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษ ถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้า ไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว
อุปกรณ์
ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
มะนาว 4 ลูก
เกลือป่น 2ช้นชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ
ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูกและเกลือ 1 ช้อนชา เขย่า ให้เข้ากัน

มะนาว จะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูด ซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ
หลังจากดื่มน้ำ มะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น คือาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้

กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ต่อหนึ่ง ครั้ง

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

จุดซ่อนเร้น เรื่องลึ้ก! ลึก …แต่ไม่ลับ

เมื่อย่างเข้าสู่วัยสาว ร่างกายของผู้หญิงและผู้ชาย จะสร้างกลิ่นของร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยดึง ดูดเพ­ศตรงข้ามด้วย

*สำหรับลูกผู้หญิงบริเวณจุดซ่อนเร้นหรือที่เรียก ว่าช่องคลอดนั้นเป็นอวัยวะที่ส­ามารถทำความสะอาดตัวของมันเองได้ตามระบบ ธรรมชาติได้ส่วนหนึ่ง แต่บางครั้งมักมีกลิ่นมาให้รำคาญใจ…*.เลยทำให้ผู้หญิงหลายต่อหลายคนเกิดความ สงส­ัย และกังวลจนเสียความมั่นใจกับจุดนี้อีกเยอะ
….เช่นเดียวกับข้อสงสัยที่ว่านี้….คุณเคยเจอหรือเปล่า

รู้สึกว่า พื้นที่จุดซ่อนเร้นมักมีกลิ่นอับๆ สังเกตได้ชัดเจนมากเวลาที่เข้าห้องน้ำสิ่งนี้เกิดจากอะไรและแก้ไขอย่างไรดี

กลิ่น อับของบริเวณจุดซ่อนเร้นนี้ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เรื่องของรูปร่างค่อนข้างท้วม เหงื่อจะออกง่าย ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พอเหงื่อออกแล้ว ก็จะเกิดกลิ่นอับที่ต้นขาและตามจุดอับชื้นต่างๆ ของร่างกาย ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดีการแก้ไขคือ จำไว้ว่าถ้าอยากให้บริเวณไหนของร่างกายมีกลิ่นสะอาด ก็ต้องทำให้ผิวช่วงนั้นมีความแห้ง โปร่ง สบายให้มากที่สุด เช่น การเลือกชุดชั้นในควรเลือกเป็นผ้าฝ้ายบางๆ ก็จะดีกว่าผ้าหนาๆ หรือเลือกสวมกางเกงที่ไม่รัดต้นขาก็จะดีกว่า กางเกงในแบบจีสตริงก็เป็นทางช่วยวิธีหนึ่ง แต่การโรยแป้งอาจไม่แก้ปัญหา กลับทำให้อับมากขึ้น ถ้าอยากใช้น้ำยาอนามัยเพื่อจุดซ่อนเร้นทำความสะอาดก็ทำได้ แต่อย่าล้างเข้าไปถึงข้างใน

*จริงหรือเปล่าผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนมักจะมีกลิ่นที่จุดซ่อนเร้­น *

ผู้หญิง ที่เคยมีเพศสัมพันธ์มานั้น จุดซ่อนเร้นอาจจะมีกลิ่นได้ง่ายกว่าคนโสดหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ เช่น ผู้ชายที่ไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย ไม่ได้รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศของเขาอย่างดีพอเมื่อมีเซ็กซ์กัน มีการสัมผัสกับอวัยวะเพศหญิงกับสิ่งสกปรกที่หมักหมมใต้หนังหุ้มปลายองคชาติ ของผ­ู้ชาย ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น และอีกอย่างหนึ่ง ภายในจุดซ้อนเร้นของผู้หญิงนั้น จะมีลักษณะเป็นกระเปราะ ทำให้อาจมีน้ำอสุจิค้างอยู่หลังการมีเพศสัมพันธ์ก็เกิดโอกาสมีกลิ่นได้

*ทำไม ช่วงเวลามีรอบเดือน มักต้องมีตุ่มหรือผื่นแดงขึ้นที่ส่วนนั้นด้วย ไม่ทราบว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่าและคนอื่นๆ เขาจะเป็นเหมือนเราไหม *
เวลา มีรอบเดือน ฮอร์โมนมันเพี้ยน พอฮอร์โมนเพี้ยนไปจากปกติ จะเกิดการระคายเคืองง่าย มีตุ่มและผื่นแดงเกิดขึ้น หากรู้สึกว่าเป็นมากก็ควรไปพบแพทย์ ให้เขาใช้ครีมสเตียรอยด์อ่อนๆ ทา ผิดปกติไหม ไม่ผิดหรอก เพราะหลายๆ คนก็มักมีอาการแบบนี้คือผิวอ่อนไหวกว่าเดิม

*การใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อจุดซ่อนเร้น จะช่วยให้ผิวที่เป็นรอยแดงช่วงขาหนีบนุ่มขึ้นรอยแดงหายไปด้วยหรือเปล่า *
จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกัน เพราะรอยผื่นและรอยแดงมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น แพ้ขอบยางกางเกงในหรือใช้แผ่นอนามัยที่ไม่ค่อยได้คุณภาพ อีกพวกหนึ่งคือบริเวณขาหนีบชิ้นหรือต้นขาใหญ่ ก็เกิดผื่นได้ถ้าเป็นผื่นมากก็ควรไปหาหมอเพื่อจะได้รักษาให้ถูกวิธี เช่น อาจให้ครีมที่เป็นสเตียรอยด์อ่อนๆ มาทา รอยแตกจากการใช้น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น

*ช่วงเวลาที่มีรอบเดือน จะรู้สึกว่าแพ้ผ้าอนามัยโดยมีอาการคันและเป็นผื่นแดงๆ ที่ข้างๆ ขาทุกครั้ง จะมีวิธีป้องกันหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง *
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เปลี่ยนยี่ห้อผ้าอนามัย เพราะถ้าเกิดใช้ยี่ห้อนี้แล้วแพ้ ยี่ห้ออื่นอาจจะไม่แพ้ก็ได้หรือไม่ถ้าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ก็อาจใช้วิธีคุมกำเนิดโดยการฉีดยาคุมก็ได้ เมื่อไม่มีประจำเดือน ก็จะไม่ต้องใช้ผ้าอนามัยและจะได้ไม่แพ้

*มีหลายคนบอกว่าการใช้น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้นจะทำร้ายแบคทีเรียที่ดี และเราจะติดเชื้อง่ายขึ้น *
แค่ ไม่ฉีดเข้าไปภายในช่องคลอดก็พอแล้ว แต่ถ้าเป็นการทำความสะอาดเฉพาะผิวภายนอกดีที่สุดคือใช้น้ำสะอาด ล้างหลายๆ ครั้งก็สะอาดขึ้น หรือถ้ามีพวกไขมันมาเกาะก็ใช้น้ำอุ่นล้าง แต่ห้ามล้างเข้าไปข้างในเด็ดขาด หากอยากให้ร่างกายมีแบคทีเรียที่ดีก็พยายามดื่มพวกโยเกิร์ตหรืออะไรที่มี ส่วนผส­มของแลคโตบาซิลลัส ก็จะทำให้ร่างกายเรามีแบคทีเรียที่ดีไว้ป้องกันเชื้อโรค

*เด็กเล็กๆ วัยอนุบาลหรือวัยประถม จะใช้น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้หรือเปล่า *
ไม่ ควรใช้น้ำยาเหล่านี้กับเด็กๆ เด็ดขาดจนกว่าจะอายุ 15 ปีขึ้นไป เพราะสำหรับเด็กเล็กๆ นั้นใช้การทำความสะอาดแบบธรรมดาๆ ก็พอเพียงแล้ว

*สบู่ โฟม หรือน้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น เลือกใช้อย่างไรให้ถูกสุขลักษณะที่สุด

* ไม่ว่าจะใช้อะไรก็ตาม ก็แล้วแต่รสนิยม ความชอบของแต่ละคนผลที่ได้คงไม่แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ น้ำที่ใช้ล้างทำความสะอาดต่างหาก ที่ต้องแน่ใจว่าเราใช้น้ำสะอาดจริงๆ ท่านั้น

*เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับจุดซ่อนเร้น *
การใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นนี้ ควรเลือกด้วยความระมัดระวัง เพราะเนื้อเยื่อของผิวส่วนนี้จะมีธรรมชาติที่บอบบางและละเอียดอ่อน เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการส่วนล้างช่องคลอดเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ การ­เป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือที่หนักกว่านั้นก็คือ การติดเชื้อของท่อรังไข่ ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งนอกมดลูกหรือเป็นหมันได้ในอนาคต

ของเหลวที่ เรียกว่าตกขาว ซึ่งมีลักษณะเป็นมูกออกมาจากช่องคลอดนั้น คือสิ่งที่ร่างกายผลิตออกมาเพื่อช่วยในการทำความสะอาดช่องคลอด หากร่างกายปกติ ตกขาวนี้จะไม่มีกลิ่นคาวช่วงหลังรอบเดือนจะมีลักษระสีขาวข้นเหมือนขี้ผึ้ง แต่จะ­ใสและยืดเหนียว มีลักษณะเหมือนไข่ขาวดิบๆ ในช่วงระยะการตกไข่ นอกจากนั้น ตกขาวยังเป็นสิ่งบอกคุณภาพของจุดซ่อนเร้นได้เป็นอย่างดีหากตกขาวมีกลิ่นคาว หรือ­เหม็น มีสีเหลืองหรือเขียวรวมทั้งมีอาการคันและแสบร่วมด้วย แสดงว่ามีการติดเชื้อเกิดขึ้นในช่องคลอด.

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

มารู้จักยาทากันยุงกันดีกว่า

ระยะนี้เป็นฤดูฝน คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคงจะกังวลเรื่องไข้เลือดออกที่มักจะระบาด กัน ในช่วงนี้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็รณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะ พันธุ์ยุงลาย ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ป้องกันไม่ให้มีน้ำขังในบ้าน น้ำที่รองขาตู้ กับข้าวก็ให้เอาน้ำส้มสายชู หรือเกลือผสมลงไป รวามทั้งหาฝาโอ่งน้ำ ถังน้ำ ตุ่ม น้ำในบ้าน เพื่อป้องกันยุงมาวางไข่ นอกจากนี้ยังอาจใช้ยาฆ่ายุง ยากันยุงรูปแบบ ต่าง ๆ ซึ่งในท้องตลาดมีด้วยกันหลายยี่ห้อ ปัจจุบันยาทากันยุง เป็นวิธีป้องกัน ที่เริ่มใช้กันแพร่หลาย มีโฆษณาให้เห็นกันทั่วไป ราคาไม่แพง และใช้สะดวก มีทั้ง แบบน้ำและแป้งฝุ่น แต่เราควรรู้ว่าจะเลือกใช้ชนิดใด จึงจะดีและปลอดภัยที่สุด สำหรับครอบครัวและลูกสุดที่รักของเรา

ส่วน ประกอบของยาทากันยุงมักจะเป็นสาร Diethyltoluamide, Dimethyl Phthalate ซึ่งกลิ่นไอของสารสามารถไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ ไม่ให้เข้าใกล้เรา ชนิดน้ำอาจใช้ แอลกอฮอล์ผสม เนื่องจากสารดังกล่าวละลายในน้ำไม่ดี นอกจากนี้ยังอาจมีสารอื่น ๆ ช่วยในการแต่งสีหรือกลิ่น ทำให้ยาน่าใช้มากยิ่งขึ้น ยังสามารถนำมาใช้ทากันยุงบน ผิวหนัง เสื้อผ้า แต่ควรจะใช้อย่างระมัดระวัง เพราะมีรายงานว่าอาจเกิดอันตราย ถึงชีวิต โดยเฉพาะถ้าใช้มากเกินไปในเด็กเล็ก จึงควรใช้มุ้งหรือมุ้งลวดป้องกัน ยุงกัดจะดีกว่า หากจำเป็นให้ทายาเพียงเล็กน้อยที่บริเวณที่เสื้อผ้าของเด็กแทน ที่จะถูกผิวโดยตรง สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ไม่ควรทาใกล้ตา ผิวหนังที่เป็นแผลหรือ เนื้อเยื่ออ่อน หากเผลอรับประทานเข้าไปควรทำให้อาเจียนโดยใช้นิ้วล้วงคอ แล้วรีบ นำส่งโรงพยาบาล ทันที
นอกจากสารเคมีแล้วยังมีสมุนไพรหลายอย่างที่ช่วยไล่ ยุงได้ เช่น ตะไคร้หอม ซึ่งมี สาร Citronella oil และไอของสาร Citrus oil จากการเผาเปลือกส้ม ซึ่งจะมีความ ปลอดภัยมากกว่า แต่เราก็ควรใช้อย่างระมัดระวังเช่นเดียวกัน

ยุงนำโรคอันตรายถึงชีวิต หากคิดใช้ยากันยุงต้องรู้วิธีใช้อย่างถูกต้อง แล้วเรา จะปลอดทั้งโรคและภัย มีความสุขทั้งครอบครัวและลูกสุดที่รักของเรา

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหารง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มพลังทางเพศ

บทกวีของ Eunuchus ให้ข้อแนะนำที่ดีเป็นนัยให้คนเลือกอาหารและเครื่องดื่มที่ดี ซึ่งหมายถึงการมีโภชนาการที่ดีนั่นเอง และเมื่อร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะเป็นสูตรเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ดี ที่ส­ุด เพราะถ้าคนเรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ร่างกายก็มีความฟิตทุกส่วนนั่นเอง

แครอทและแอปริคอท แครอทเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อติดกลุ่มอาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในชาว ตะว­ันออก ราชวงศ์กษัตริย์นิยมเสิร์ฟแครอทในงานเลี้ยงแนะนำหนุ่มสาวในการเลือกคู่ เนื่องจากแครอทมีสารเบต้าแคโรทีนสูง เชื่อกันว่า เบต้าแคโรทีนช่วยเพิ่มปริมาณสเปิร์มและระดับฮอร์โมนเพศโปรเจสเตอโรน ส่วนในประเทศจีนความเชื่อที่ปฏิบัติกันในกลุ่มเจ้าสาวจีน คือ ต้องรับประทานผลแอปริคอทเพื่อเพิ่มโอกาสปฏิสนธิ พูดง่ายๆ คือ จะได้ตั้งครรภ์เร็วขึ้น แอปริคอทมีสารเบต้าแคโรทีนและแมงกานีสสูง ซึ่งสารอาหารทั้งสองชนิดถูกใช้ในการสร้างฮอร์โมน

กล้วยหอม กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่เชื่อว่าเพิ่มความสามารถการมีเซ็กซ์ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะนอกจากกล้วยจะมี โปตัสเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทแล้ว ยังมีวิตามินบี 6 ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อข่าวในสมองอีกด้วย

มะเดื่อ มะเดื่อเป็นผลไม้ยอดนิยมที่เชื่อว่าเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของชาวกรีกในสมัย โบราณ มะเดื่อมีวิตามินบีชนิดไนอะซินสูง วิตามินชนิดนี้ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในทุกส่วนของร่างกาย และนอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมน

หน่อไม้ฝรั่ง ประเพณีเก่าแก่ของชาวอังกฤษ เชื่อว่า การรับประทานหน่อไม้ฝรั่งต้มทุกเช้า เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน จะช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศได้ดีทั้งอาจจะเป็นเพราะหน่อไม้ฝรั่งเป็นอาหาร อีกช­นิดหนึ่งที่เป็นแหล่งของไนอะซิน

ปลาและหอย ปลาและหอย เป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศอีกชนิดหนึ่งในวัฒนธรรมการกินอาหาร ของ­หลายๆ ประเทศ ถึงกับว่าเมื่อมีการรณรงค์ให้รับประทานอาหารทะเล สถาบันหอยนางรมของสหรัฐอเมริกาเหนือถึงกับใช้สโลแกนว่า กินหอยนางรม สร้างชีวิตรักให้ยืนยาว การเอ่ยอ้างเช่นนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า หอยนางรมมีแร่ธาตุสังกะสีสูง และสังกะสีช่วยทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ตามทฤษฎีจะช่วยเพิ่มโอกาสการมีลูกนั่นเอง นอกจากนี้ สังกะสียังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดต่อมลูกหมากบวมอักเสบ ซึ่งถ้าเกิดกับชายใดก็จะทำให้เกิดปัญหาทางเพศได้เช่นกัน

กรดโอเมก้า 3 ในอาหารทะเลเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ พลอสตาแกลนดิน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทในด้านการตอบสนองทางเซ็กซ์ และเคยใช้เป็นสารที่ใช้ฉีดเฉพาะที่ในชายที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผนังเส้นเลือดคลายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าน้ำมันปลาแคปซูลจะให้ผลเหมือนอาหารธรรมชาติ ฉะนั้นคุณผู้ชายไม่ต้องวิ่งไปซื้อน้ำมันปลามารับประทานให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ

ดังนั้น หลักของโภชนาการที่ดีร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอนั่นเอง ถ้าปฏิบัติตัวได้ตามนี้แล้วคงไม่ต้องเสียเงินซื้อยาโด๊ปต่างๆ ให้สิ้นเปลือง

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วิธีการทดสอบน้ำผึ้งแท้หรือปลอม

น้ำผึ้ง เป็นน้ำหวานที่ได้มาจากธรรมชาติ ที่เกิดจากการผลิตของแมลงที่เรียกว่า " ผึ้ง" น้ำผึ้งมีหลายชิด ทั้งน้ำผึ้งป่า คือ น้ำผึ้งที่ได้มาจากรังของผึ้ง ป่า และน้ำผึ้งเลี้ยง คือ น้ำผึ้งที่ได้จาก ผึ้งที่คนเลี้ยงตามบ้าน หรือตาม ฟาร์มเลี้ยงผึ้ง หลาย ๆ ท่านคง ได้ชิมลิ้มรศกับน้ำผึ้งที่หวานฉ่ำกันมาแล้ว แต่ ทราบมั้ยล่ะครับว่า น้ำผึ้งที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้มา จากการเดินตลาด ไปหาซื้อ มี คนเอามาแจกเป็นของขวัญ ในวันสำคัญบ้าง ก็แล้วแต่คุณ ๆ ท่าน ๆ จะได้มา ทราบมั้ย ล่ะครับว่า น้ำผึ้งที่ได้มา เราจะสังเกตหรือรู้ได้อย่างล่ะครับว่าเป็นของแท้ หรือของเทียม คำถามนี้เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงทราบ และหลาย ๆ ท่านคงยังไม่ทราบ ว่าเค้ามีวิธีการทดสอบอย่างไร ผู้เขียนเองจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มา ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ และสามารถนำไปปฏิบัติได้เมื่อถึงคราวจำเป็นจะได้นำไป ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องครับ

ผลจากการศึกษาและค้นคว้าวิจัยของ อาจารย์หทัยพร ศิรินามารัตนะ ภาควิชาเภสัชเวท คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ความรู้ว่าการทดสอบน้ำผึ้งว่าเป็นของแท้ หรือไม่ ถ้าจะให้ถูกต้องแม่นยำ ต้องใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทดสอบปริมาณกลูโคส ไม่มีวิธีการทดสอบง่ายๆ อย่างที่เข้าใจ อย่างไรก็ตาม มีหลักเกณฑ์วิธีที่พอจะใช้ ได้สำหรับดูหรือสังเกตน้ำผึ้งแท้และดีได้ ดังนี้

1.น้ำผึ้งควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุไว้บนฉลากข้างขวดน้ำผึ้ง เช่น น้ำผึ้ง ลำไยก็ควรมีกลิ่นของลำไย เป็นต้น
2.น้ำผึ้งต้องมีความหนืด แม้ในอากาศร้อนหรืออุณหภูมิห้อง
3.น้ำ ผึ้งต้องมีสีอ่อนตามธรรมชาติที่ได้เก็บเกี่ยวมา ถ้ามีสีเข้มมากจนดำแสดงว่า เป็นน้ำผึ้งที่เก็บมานานแล้ว ซึ่งน้ำผึ้งที่เก็บมานานคุณประโยชน์ก็จะลดลง เรื่อยๆ ดังนั้นควรดูวันหมดอายุที่ข้างขวด แต่ทั้งนี้เป็นข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรง นัก เพราะน้ำผึ้งอาจถูกเก็บไว้นานเป็นปีก่อนนำมาขาย
4.น้ำผึ้งต้องไม่แยกชั้น ต้องอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน แม้ในบางครั้งอาจพบน้ำผึ้ง เกิดการตกผลึกเนื่องจากเป็นน้ำผึ้งที่ได้มาจากการเลี้ยงด้วยดอกไม้ต่างชนิด กัน แต่น้ำผึ้งแท้ที่ตกผลึกจะมีผลึกเป็นแท่งเหลี่ยมแหลมเปราะบาง และถ้าตกผลึกทั้ง ขวดจะมองเห็นสีผลึกเป็นสีเดียวกันทั้งขวด ไม่เป็นสีเข้มปนสีอ่อนตกผลึกอยู่ที่ ก้นขวด เหนือผลึกขึ้นมาเป็นของเหลวและสีของเหลวนั้นมีสีเข้มกว่าผลึกอย่างเห็น ได้ชัด เรียกลักษณะนี้ว่าน้ำผึ้งตกตะกอน โดยทดสอบน้ำผึ้งที่ตกตะกอนได้โดยนำไป แช่ตู้เย็นจะเห็นได้ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น
5.น้ำผึ้งต้องสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน ถ้ามีแสดงว่าวิธีการเก็บเกี่ยวไม่ดี

ถ้า ดูน้ำผึ้งไม่เป็นเลยก็อาจดูจากฉลาก บริษัทผู้ผลิตว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้ รับการรับรองจากองคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่ เป็นแนวทางในการเลือกซื้อ และเมื่อได้น้ำผึ้งที่ดีแล้วต้องเก็บในภาชนะปิดสนิท เก็บในที่เย็น แต่ไม่ควรแช่ ตู้เย็น (อุณหภูมิห้องทั่วไปที่ไม่ร้อนมากนัก) และควรเก็บในขวดปากแคบ ถ้ารับ ประทานน้ำผึ้งทุกวันให้แบ่งน้ำผึ้งออกมาไว้ในขวดปากกว้างเพื่อสะดวกต่อการ ใช้แล­ะ ทำให้เก็บน้ำผึ้งได้นานไม่เสียง่าย

ส่วนการทดสอบทางวิทยา ศาสตร์ น้ำผึ้งคือผลิตผลของน้ำหวานจากดอกไม้ และจากแหล่ง น้ำหวานอื่นๆ ที่ผึ้งนำมาเก็บสะสมไว้ในรังผึ้ง ประกอบด้วย

1.น้ำ โดยน้ำผึ้งจะประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนประกอบไม่เกินร้อยละ 20
2.คาร์โบ ไฮเดรต เป็นสารอาหารที่มากที่สุด คือมีปริมาณร้อยละ 79 ในรูปของน้ำตาล ฟรักโทส และกลูโคส โดยมีปริมาณน้ำตาลฟรักโทส มากกว่าน้ำตาลกลูโคสเล็กน้อย ทำให้ น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น
3.กรด มีประมาณร้อยละ 0.5 ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย โดยกรดที่พบมากคือกร ดกลูโคนิก
4.แร่ ธาตุ มีประมาณร้อยละ 0.5 ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม โปตัสเซียม ฟอสฟอรัส โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้มจะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน
5.วิตามิน เช่น ไรโบเฟลวิน ไนอะซิน เป็นต้น

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

การป้องกันโรคมะเร็ง

ก่อนอื่นก็ขอแสดงความยินดีกับท่านที่รักษามะเร็งหายเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ต่อไปท่านต้องดูแลตัวเองให้แข็งแรงเพื่อให้ท่านฟื้นฟูสภาพร่างกาย และ­ที่สำคัญท่านจะต้องหาทางป้องกันมิให้มะเร็งกลับเป็นซ้ำ สำหรับท่านที่ยังไม่เป็นมะเร็งก็ควรจะป้องกันมิให้เกิดโรคนี้
หลังจากการ รักษาท่านอาจจะได้รับคำแนะนำจากผู้ที่ประสงค์ดีหลายๆท่านว่าไปรักษาท­ี่นั้น ดี ไปรับประทานยาพระ ยาหม้อ หมอพระ รวมทั้งชีวจิต ท่านต้องตั้งสติว่าข้อมูลที่ท่านได้รับมีความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์หรือ ไม่ มีการพิสูจญ์ทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ อย่าไปเชื่อเพราะเขาบอกหรือตามคำเล่าลือเท่านั้นเพราะอาจจะทำให้ท่านเสีย เงินแล­ะเสียเวลา

เนื้อหาที่จะเกล่าเป็นแนวทางในการดูแลตัวเองให้ แข็งแรงและลดปัจจัยเสี่ยงต่อมะเ­ร็ง แนวทางการป้องกันมะเร็งได้มาจากสมาคมการวิจัยเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง American Institute for Cancer Research ดังนี้

1. เลือกอาหารที่มาจากพืช
ตลอด ระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้ทราบแล้วว่าอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่มาจากพืชรวมทั้งการรักษาน้ำหนักที่เหมาะสมและการออกกำ ลังก­ายจะทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคมะเร็ง เนื่องจากสารอาหาร วิตามินในพืชสามารถทำให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้ดี ยับยังการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังทำลายสารที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม 2 หน่วยร่วมกับการออกกำลังกายเพิ่มจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ร้อยละ 60-70 เช่นการเปลี่ยนขนมปังธรรมดาเป็นขนมปังธัญพืช
- ให้รับประทานอาหารพวกผักชนิดใหม่ๆซึ่งจะเพิ่มความอยากรับประทานอาหารพวกผัก
- ให้มีอาหารพร้อมปรุงที่ทำจากพืชไว้ในตู้เย็นเช่นพวกถั่วต่างๆ อาหารแช่แข็ง ผลไม้กระป๋อง
- ให้ใช้ถั่วในการปรุงอาหารเช่นผสมในสลัด ใส่ถั่วในส้มตำ ใส่ถั่วในแกง อาจจะใช้ถั่วได้หลายชนิดเช่น ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแขก เม็ดมะม่วงหิมะพาน
- ให้รับประทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์สัปดาห์ละครั้ง
- หัดปรุงอาหารที่ทำจากพืช

2. รับประทานผักและผลไม้เพิ่ม
ผู้ เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาหารที่เรารับประทานควรจะมาจากพืชเสีย 2/3 เช่นผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว ส่วนที่เหลือ 1/3 มาจากเนื้อสัตว์และนม วิธีการที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ให้ลดลงทำได้ดังนี้
- ใช้เนื้อเพียงแค่ปรุงรสเท่านั้น ไม่ใช่อาหารหลักอย่างบ้านเราทำกันคือผัดผักใส่หมูหรือกุ้งเพื่อปรุงรสและกลิ่น
- รับประทานอาหรโปรตีนที่ทำจากพืชเช่น เนื้อปลอมที่ทำจากถั่วเหลืองหรือจากเห็ด
- เลือกอาหารว่างที่ทำจากพืช เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้ต่างๆ
- เลือกผลไม้กระป๋องไว้ประจำบ้าน ควรเลือกผลไม้ที่บรรจุในน้ำผลไม้หรือน้ำไม่ควรใส่น้ำหวานหรือเกลือ
- รับประทานผักใบเขียวให้มาก
- มื้อกลางวันให้รับประทานสลัด
- ใช้รับผลไม้หลังจากรับประทานอาหาร
หากท่านรับประทานผักและผลไม้มากเท่าใดท่านจะได้รับสารอาหาร วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นเท่านั้นซึ่งจะต่อสู้กับมะเร็ง

3.รักษานำหนักที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำ
น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับท่านควรอยู่ระหว่างดัชนีมวลกาย 18.5-23 สำหรับท่านที่น้ำหนักน้อยก็ต้องรับประทานอาหารเพิ่ม หากรับประทานไม่พอก็ต้องรับประทานอาหารเสริมเพิ่มขึ้น โรคอ้วน ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากมายสำหรับท่านที่มีน้ำหนักเกินท่านต้องรับประทานอา­หารน้อยลงวิธีการรับประทานอย่างฉลาดมีดังนี้
- อ่านฉลากอาหารทุกครั้ง หากปริมาณสารอาหารที่ท่านซื้อมากเกินไปท่านต้องแบ่งอาหารออกมาเพื่อมิให้ได้รับ­พลังงานเกินไป
- อย่าอดอาหารเป็นมือเพราะท่านจะรับประทานมากขึ้นในมื้อต่อไป
- เลือกอาหารว่างอย่างฉลาดควรจะเลือกพวกผักและผลไม้
- ให้รับประทานเมื่อท่านหิวเท่านั้น อย่ารับประทานเพราะว่าอร่อย หรือว่ากำลังเหงา ควรหางานอดิเรกทำเพื่อจะได้ไม่รับประทานมากเกินไป
- อาหารพวกผักและผลไม้จะมีไขมันต่ำ หากอาหารหลักของท่านเป็นอาหารเหล่านี้โอกาสที่จะอ้วนก็มีน้อย
การ ออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ท่านแข็งแรง ลดความเครียดได้ ทำให้เจริญอาหารและการขับถ่ายดีขึ้นวิธีการที่จะเริ่มออกกำลังกายอย่างง่ายๆ
- เริ่มทีละเล็กน้อยค่อยๆเพิ่ม อย่าหักโหมเพราะจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ
- การเดินเป็นวิธีที่ดีและง่าย
- ให้กระฉับกระเฉงเช่น การขึ้นบัดได การเดินไปทำงาน การล้างรถหรือถูบ้าน
- ท่านที่สุดอายุหรือมีโรคเข่าเสื่อมอาจจะเริ่มออกกำลังในน้ำเพราะจะใช้แรงไม่มาก­และไม่เป็นอันตรายต่อข้อ

4. ลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่
จากการวิจัยพบว่าการดื่มสุราก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพแต่การดื่มไวน์แดงก็อาจจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมื­อนกับการรับประทานองุ่นเพราะมีสาร resveratrol
- หากไม่เคยดื่มสุราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มดื่ม
- หากจะดื่มสุราก็ให้ดื่มไม่เกิน 1 หน่วยสุรา
- หากไปงานเลี้ยงก็ไม่ควรใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ผสม การสูบบุหรี่จะ ทำให้เกิดมะเร็งได้หลายระบบ" target=_blank rel=nofollow>http://www.siamhealth.net/Health/smoking/index.htm>จะ ทำให้เกิดมะเร็งได้หลายระบบ การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้ลดการเกิดมะเร็งได้ร้อยละ 30

5. เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำ
เชื่อ ว่าอาหารมันและเกลือจะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans-fats ('partially hydrogenated' oils). ซึ่งไขมันทั้งสองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคหัวใจ แต่มิได้ห้ามรับประทานอาหารมันเพราะอาหารมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ไม่ ควรรั­บมากเกินไป

6.ปรุงอาหารอย่างถูกต้อง
การปรุงอาหารพวก เนื้อสัตว์โดยเฉพาะการย่างด้วยไฟอุณหภูมิที่สูงจะทำให้เกิดสารก­่อมะเร็ง เนื่องจากน้ำมันที่ถูกไฟไหม้จะก่อให้เกิดสาร polycyclic aromatic hydrocarbons ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ควรจะเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นเช่น การอบ การใช้microwave การต้ม การทอดในน้ำ วิธีการที่จะลดการเกิดสารก่อมะเร็งมีดังนี้
- อย่าย่างเนื้อสัตว์หลายชนิดในไม้เดียวกัน เพราะเนื้อทุกชนิดสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ ให้เลี่ยงไปย่างผักหรือผลไม้แทนเนื้อสัตว์
- เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน และให้ตัดไขมันออกจากเนื้อสัตว์ให้หมด
- ให้หมักเนื้อนั้นก่อนปรุงอาหารโดยเฉพาะการหมักด้วยมะนาวจะช่วยลดสารก่อมะ เร็งให­้หมักก่อนปรุง 15-20 นาที ไม่ควรหมักด้วยน้ำมัน
- ไม่ควรเผาเนื้อสัตว์ ให้หุ้มเนื้อสัตว์ด้วย foil อาจจะทำให้เนื้อสัตว์สุขด้วยการต้ม อบหรือmicrowave แล้วจึงนำมาเผาภายหลัง
- อย่ารับประทานเนื้อสัตว์ที่ไหม้ ให้ตัดส่วนที่ไหม้ออก - การย่างหรือเผาอาหารพวกผักไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง

7. การถนอมอาหาร
ผู้ป่วยที่พื้นจากโรคมะเร็งจะมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอโอกาสจะเกิดโรคจากอาหารจะม­ีสูง ดังนั้นการเก็บและถนอมอาหารจะช่วยป้องกันการโรค
- ล้างมือ ถ้วยชาม โต๊ะ ให้สะอาดและเปลี่ยนฟองน้ำบ่อยๆ
- ให้ล้างผักและผลไม้โดยการรินน้ำ
- ระวังการปนเปื้อนอาการจากการใช้มีด เขียง ชาม
- ละลายอาหารแช่แข็งในตู้เย็นหรือ microwave ไม่ควรละลายในห้องครัว
- ใช้ปรอทวัดอุณหภูมิของอาหารเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารสุขจริงๆ
- อ่านฉลากอาหารให้ทราบวันหมดอายุ

8. การใช้ครีมป้องกันแสงแดดโดยเฉพาะตอน 10.00-15.00 น โดยใช้ครีมที่มี SF อย่างน้อย 15 อ่านที่นี่

9. การไม่สำส่อนทางเพศเพราะการมีเพศสัมพันธ์จะทำให้เกิดการติดเชื้อ เริ่ม (อ่านที่นี่<>) และเชื้อไวรัสโรคเอดส์ ซึ่งทั้งสองโรคดังกล่าวจะทำให้เกิดมะเร็ง

คำถามที่ถามบ่อย
- วิตามินช่วยป้องกันมะเร็งได้หรือไม่ จากรายงานพบว่าวิตามินในผักและผลไม้มีคุณค่ามากกว่ายาเม็ดวิตามิน ดังนั้นแนะนำให้รับประทานอาหารพวกผักและผลไม้ให้มาก ในกรณีที่รับอาหารไม่ได้เลยแพทย์ก็จะพิจารณาให้วิตามินเสริม

สารอาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็ง

สาร อาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็งหรือที่เรียกว่า Chemoprevention จะทำหน้าที่สองประการคือ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม และหยุดการแบ่งเซลล์มะเร็ง สำหรับสารที่นิยมมาใช้ป้องกันมะเร็งได้แก่

สารอาหาร ชนิดสารอาหาร ใช้ป้องกันหรือรักษามะเร็ง
Vitamin A + other retinoids vitamin ผิวหนัง คอและศีรษะ ปอด
Vitamin C vitamin ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร
Vitamin D vitamin ลำไส้ใหญ่
Vitamin E vitamin ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร
Folic Acid vitamin ปากมดลูก
Selenium mineral ผิวหนัง
Calcium mineral ลำไส้ใหญ่
Beta-Carotene phytochemical ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร
Monoterpenes phytochemical เต้านม
Tamoxifen drug เต้านม
Finasteride drug ต่อมลูกหมาก
Oltipraz drug ตับ
NSAIDS (nonsteroidal anti-inflammatory drugs -- aspirin, buprofen) drug ลำไส้ใหญ่
Sunscreen other ผิวหนัง
Spirulina fusiformi (blue-green algae) คอและศีรษะ

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ผิวแบบไหน...ดูแลอย่างไร

ผิวของแต่ละคน มีลักษณะที่ต่างกัน จึงย่อมต้องการดูแลที่ไม่เหมือนกันก่อนอื่นมาตรวจสอบกันก่อนว่า คุณมีผิวชนิดใด

ล้าง หน้าให้สะอาด แล้วทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ถ้าทำการตรวจสอบทันทีหลังล้างหน้า อาจทำให้คลาดเคลื่อนได้ เพราะแม้แต่คนที่หน้ามันสุด ๆ ยังดูแห้งได้หลังจากล้างหน้าใหม่ ๆ จึงควรทิ้งเวลาออกไป เพื่อดูการทำงานของต่อมไขมัน โดยใช้กระดาษนุ่ม ๆ บาง ๆ ปิดหน้า ถ้ากระดาษติดหน้าแสดงว่าผิวมัน ถ้าไม่ติดหน้าเลยแสดงว่าผิวแห้ง ถ้ากระดาษติดหน้าเพียงบางส่วนโดยเฉพาะบริเวณทีโซน แสดงว่าคุณมีผิวปกติ

*ผิว แห้ง* เป็นผิวที่ไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ ทำให้ใบหน้าดูไม่มีชีวิตชีวา และมีโอกาสเกิดรื้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น ๆลักษณะของคนผิวแห้ง ...บริเวณแก้มด้านล่างที่ต่อกับคาง และผิวใต้ตาจะดูแห้ง บางครั้งจะลอกเป็นขุย
*วิธีดูแล* หลีกเลี่ยงการใช้โลชั่นเช็ดผิว เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นทางทีดีควรใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในช่วงเช้า ส่วนช่วงเย็น ซึ่งต้องล้างเครื่องสำอางออก ควรเลือกใช้ ครีมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ซึ่งจะรู้สึกผิวลื่น ๆหลังล้างหน้า ส่วนก่อนนอนควรบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าสำหรับคนที่หน้าแห้งมาก จนแตกเป็นลายงา ให้เพิ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ในช่วงเช้าและกลางวัน แต่คนผิวแห้งก็มีข้อดี คือ รูขุมขน มักกระชับมองดูหน้าเนียนและไม่ค่อยมีปัญหาใบหน้ามันย่อง จนทำให้แต่งหน้าไม่ติดทน

*ผิวมัน* ผิวประเภทนี้ จะมีความมันกระจายอยู่ทั่วใบหน้า และจะมีความมันมากเป็นพิเศษบริเวณทีโซน...หรือแถวหน้าผาก คาง และจมูก คนผิวมันดูเหมือนว่า จะเกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง แต่ก็ทำความสะอาดได้ยากกว่า และเนื่องจากต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ จึงทำให้รูขุมขนใหญ่ ผิวหน้าดูหยาบกว่าคนผิวแห้ง ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของคนผิวมัน คือ เมื่อไขมันออกมาเคลือบใบหน้ามาก ๆ เข้า ทำให้ใบหน้าดูมันย่อง หน้าตาไม่สดใส แต่งหน้าก็มักไม่ติดทน
*ขั้นตอนการ ดูแล* เลือกใช้สบู่อ่อน ๆ หรือเจลใสล้างหน้า และไม่จำเป็นต้องล้างหน้าบ่อย ๆ ถ้าหน้ามันมาก ให้ใช้กระดาษซับหน้า คอยดูดซับน้ำมันออก จะช่วยให้ผิวหน้าผ่องขึ้นได้ ส่วนเครื่องสำอาง เลือกใช้ชนิด Oil-free เพื่อไม่ให้ใบหน้าดูมันเยิ้ม

*ผิวปกติ* จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ มักมีผิวลักษณะนี้ คือ จะมีน้ำมันเคลือบผิวบาง ๆ บริเวณทีโซน คือส่วนของหน้าผาก และจมูกจะมีความมันมากกว่าส่วนของแก้ม ในขณะที่ผิวรอบดวงตาและส่วนของแก้มลงมาจนถึงคอ จะดูแห้งกว่าบริเวณทีโซน
*ขั้น ตอนการดูแล* ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ และไม่ควรใช้โลชั่นทีมีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพราะจะทำให้คุณเป็นคนผิวแห้งได้ ส่วนการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ให้เลือกทาเฉพาะส่วนของของแก้ม และผิวรอบดวงตา เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เพื่อสุขภาพ ตัวเลือก

คุณรู้หรือไม่ว่าผิวหนังสามารถบอกคุณได้ว่าคนๆนั้นกระตือรือร้นทางเพศหรือ ไม่ มีกิจกรรมทางเพศเฉื่อยชาหรือกระปี้กรัเปร่าดีขอว่าเป็นข้อๆ
1. Sex คือการบำรุงความงามการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่าขณะที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ เธอจะหลั่ง ฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาปริมาณมาก ซึ่งทำให้เส้นผมเป็นเงางามและผิวหนังนุ่มนวล
2. เพศสัมพันธ์ที่ค่อนข้างอ่อนโยนและผ่อนคลาย ช่วยลดอาการอักเสบทางผิวหนัง เช่น สิว และผื่นต่างๆ ได้เหงื่อท่ไหลออกมาเป็นตัวชะล้างรูขุมขน ทำให้ผิวหนังผ่องใส
3. เพศสัมพันธ์ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ที่คุณกินเข้าไปตอนมื้อค่ำอันโรแมนติก
4. sexคือการออกกำลังกายที่ปลอดภัยที่สุด มันทั้งช่วยยืดเส้นยืดสายและทำให้กล้ามเนื้อตึงในทุกๆส่วน ของร่างกาย อีกทั้งน่าสนุกกว่าการวิ่งจ็อกกิ้ง หรือว่ายน้ำสัก 20 เที่ยวเป็นไหนๆ แถมไม่ต้องซื้อรองเท้า กีฬาแพงๆ
5. Sexช่วยลดความตึงเครียดได้ดียิ่ง กิจกรรมทางเพศช่วยหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ในกระแสเลือดทำให้คุณ รู้สึกดีขึ้น
6. มี sex บ่อยๆคุณยิ่งได้รับสารเคมีที่มีชื่อว่าฟีโรโมนส์ (pheromones) มากยิ่งขึ้น
7. กลิ่นตัวที่ถูกขับออกมาขณะที่มีความต้องการทางเพศเป็นน้ำหอมที่ช่วยกระตุ้นเพศต­รงข้ามคึกคักได้อย่าง เหลือเชื่อ
8. จูบกันทุกวันช่วยลดอาการฝันผุการจูบกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ขับน้ำลายออกมา จึงช่วยชะล้างฟันของคุณ ให้สะอาด
9. sex แก้ปวดหัวตลอดจนกระบวนการทางเพศจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ซึ่งไปปิดกั้นหลอดเลือด ในสมองไว้
10. ร่วมเพศบ่อยๆช่วยแก้อาการคัดจมูก เพราะเซ็กส์เป็นยาแอนตี้ฟิตามีนจากธรรมชาติ แก้อาการแพ้ฝุ่น แพ้ละอองได้ดี
11.เซ็กส์เป็นยานอนหลับที่มีประสิทธิภาพดีกว่า valium หลายเท่า ถ้าคุณสามารถมีเซ็กส์เกิน 5 ครั้ง ในหนึ่งคืน

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

10 วิธีหนีร่างกายเสียสมดุล

ด้วยชีวิตของคนทำงานที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด ทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายที่รุมเร้าเข้าทำร้ายตัวเองอย่างช้าๆโดยไม่ รู้ต­ัว จากพฤติกรรมต่างๆ ของตัวเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระดูกส ันหลังที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย

ดังนั้น ก่อนที่โครงสร้างร่างกายจะเสียสมดุล เราควรต้องเปลี่ยนวีถีชีวิตตัวเองใหม่ใส่ใจกับตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดอายุขัย ซึ่ง "เพ็ญพิชชากร แสนคำ"นักกายภาพบำบัดจากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ ได้สรุปพฤติกรรมที่ทำให้โครงสร้างร่างกายเสียสมดุล เอาไว้ 10 ข้อดังนี้

1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนหรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดยที่ไม่รู้ตัว
2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้
3. การนั่งหลังงอ/นั่งหลังค่อม เช่นการอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้นการนั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่จะชอบนั่งแบบครึ่งๆก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่
5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียวการยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายไม่ทำให้ กล้­ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากัน จะทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวส่งผลให้กระดูกสันหลังคด

6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดิน หรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อยโดยให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและ ทำใ­ห้ไม่ปวดหลัง
7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด
8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียวไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่อง กันเป­็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆกัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
9.การหิ้วของด้วยนิ้ว การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆแล้วกล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือการใช้หยิบ,จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมากๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้
10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ ขนานกับเพดานไม่แหงนหน้า หรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง

วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูงมาฝากกัน...
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยา ศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการ ทำวิจัย "องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ ในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้" ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

เช็คสุขภาพจิตกันดีกว่า

กติกาคือ 1. หยิบปากกากะกระดาษขึ้นมาเขียน A or B ย้ำห้ามโกง

1. เธอ ชอบมั้ยกับการที่มีแต่ใครๆ มาห้อมล้อมรุมรักเธอ
A ชอบดิ เหมือนดาราดีอ่ะ
B โอ๊ย! ยุ่งอารายกะชั้นนักหนา

2. เธอคิดว่าไม่ว่าจะเจอเรื่องแย่แค่ไหน....ก้ต้องมีสิ่งดีๆมาหาเธอเสมอ
A แน่นอนชีวิตใครจะหดหู่อยู่ตลอด
B โอ้ไม่แน่นอน โลกนี้โหดร้ายกับฉันเสียจิง

3. เธอคิดว่าถ้ามีเรื่องแย่ๆ แค่ไหนก็ตามเกิดขึ้นในอนาคตเธอจะสามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี
A ปล่อยมันไปเดี๋ยวก้ดีเอง
B ไม่แน่ใจว่าจะรับได้แค่ไหน

4. เธอคิดว่าวิถีชีวิตที่เธอได้เธอเป็นอยู่ตอนนี้ดีสุดๆ
A แค่นี้ก็ OK น่ะ
B ก็ลุ่มๆ ดอนๆ ยังไงก้ไม่รู้

5. เธอมีเพื่อนสนิทที่คุยกันได้ทุกเรื่องหรือป่าว
A แน่นอนเพื่อนซี้มีคนเดียวก็เกินพอ
B ชอบมีเพื่อนเป็นกลุ่มมากกว่าอบอุ่นดี

6. เธอรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเวลาตื่นนอนตอนเช้า
A สดชื่นทุกวัน แม้ว่าเป็นวันที่น่าเบื่อ
B ไม่รู้เป็นไร สดชื่น เฉพาะเสาร์อาทิดย์เท่านั้น

7. เมื่อมีปัญหาเธอคิดเสมอว่ามันต้องมีทางออกของมันเอง
A ทุกอย่างมีทางออกของมันเอง
B ไม่เสมอไป บางอย่างเราก้แก้ไขไม่ได้เอง

8. เธอคิดว่าตัวเองมีข้อดีที่น่าภูมิใจ
A แน่นอน ไม่เข้าข้างตัวเองแล้วจะไปเข้าข้างใคร
B ไม่เลย รู้สึกทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง

9. เธอเคยฮัมเพลงเวลาอาบน้ำบ้างหรือป่าว
A แน่นอนเทสเสียงไปในตัว
B ไม่อ่ะ อายตัวเองจิงๆ

10. เธอมีจุดมุ่งหมายในใจอยู่เสมอ
A เป้าหมายในชีวิตวัดความสำเร็จ
B คิดแค่วันนี้ตอนนี้อย่างเดียวเท่านั้น

11. เธอมีความสุขกับการวิ่งตามความฝันของตัวเอง
A ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงด้วย
B รู้สึกว่าความฝันห่างไกลเหลือเกิน

12. เคยมั้ยบางวันแค่มองดวงจันทร์ก็ยืนอมยิ้ม
A เคยสิ โรแมนติกยังไงก้ไม่รู้
B อยู่ไหนเหรอดวงจันทร์ ไม่เห็นมานานแล้ว

13. เธอปวดหัวบ่อย ๆ โดยไม่มีสาเหตุหรือป่าว
A ปวดเฉพาะเป้นหวัดคัดจมูก
B ปวดเป็นงานอดิเรกเชียว

14. เดี๋ยวนี้ชอบเม้าท์แตกเรื่องชาวบ้านหรือป่าว
A ไม่เลย เรื่องชาวบ้านเราไม่เกี่ยว
B ไม่รู้เป้นไรเห็นใคร ก็คันปากไปหมด

15. เดี๋ยวนี้ขี้หลงขี้ลืมหรือป่าว
A ไม่น่ะ ปกติดี
B นั่นสิ ป้ำๆ เป๋อๆ ยังไงก็ไม่รุ้

16. นอนหลับสบายดีมั้ย
A หัวถึงหมอนก็นอนฝันหวาน
B นอนไม่หลับกระสับกระส่าย

17. พักนี้เธอบ่นอยากไปไหนไกลๆ รึป่าว
A อยากไปกะเพื่อนๆ เฮฮาปาร์ตี้
B อยากไปที่ไหนก็ได้คนเดียว ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก

18. เธอรู้สึกเหนื่อยง่าย แม้ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ
A ไม่เลย แข็งแรงทนทานดีอยู่
B นั่นสิเหมือนแก่ก่อนวัยยังไงก็ไม่รู้

19. เดี๋ยวนี้เธอทะเลาะกับคนรอบข้างถี่เกินไปรึป่าว
A ไม่น่ะออกจะรักกันจี๋จ๋า
B นั่นสิ เจอใครก็เหม็นหน้าไปหมด

20. ช่วงนี้ทำอะไรไม่ค่อยจะมีสมาธิเลยจริงๆ
A ปกติ ( อ่านหนังสือแล้วจำไม่ได้ยังไงก็เป็นอยู่อย่างนั้น)
B รู้สึกเนือยๆ ไม่ค่อยตั้งใจทำอะไรเลย






เช็กระดับความเครียดกันสักหน่อย

ถ้าเลือกข้อ A ต่ำกว่าสิบข้อ
ชมรม ความเครียดยินดีต้อนรับ แหมหนุ่มน้อยสาวน้อยเอ๋ย รู้สึกเธอจะเครียดเกินไปแล้วนะ อายุก็เท่านี้เองจะซีเรียสกับชีวิตไปไย เธอต้องหาเวลาเพื่อนผ่อนคลายหรือหาสาเหตุที่ทำให้เธอเครียดขืนปล่อยเอาไว้จะ ทำให้เธอเสียสุขภาพจิตได้

ถ้าเลือกข้อ A ตั้งแต่ 10-15 ข้อ
สุขภาพ จิตของเธออยู่ในระดับปกติ แต่ก็อาจจะมีแนวโน้มที่จะเครียดได้ถ้ามีอะไรมากระตุ้น หรือมีเรื่องมากระทบจิตใจเธอ ทางที่ดีพยายามเตือนตัวเอง "ไม่เอาน่าอย่าเครียดๆ"

ถ้าเลือกข้อ A มากกว่า 15 ข้อเย้!
ดีใจ ด้วยน่ะที่ไม่ต้องเข้ามาอยู่ในชมรมคนเครียดสุขภาพจิตของเธอแข็งแรงดี มีความสุขในชีวิต ปัจจุบันตามสภาพสามารถแก้ไขข้อคับข้องใจและปันหาเฉพาะหน้าได้ ยอมรับความเป็นไปต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ง่าย ทำให้มีความสุขกับการใช้ชีวิต

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

กินดี อยู่ดี มีประโยชน์ต่อชีวิต

สรุปคำบรรยายเรื่องการโภชนาการและการพักผ่อนที่ดี
โดย อ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
ดุลยภาพแห่งชีวิต
คือความสมดุลของชีวิต จำลองภาพเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านล่างเป็นการงาน ด้านบนเป็นชีวิตส่วนตัว ด้านซ้ายและขวาเป็นสังคมและครอบครัว ตรงกลางเป็นสุขภาพ ถ้าทำงานมากชีวิตส่วนตัวก็น้อยลง ที่สำคัญถ้าสุขภาพถูกทำลาย ส่วนที่เหลือก็จะสูญสลายไปหมด
การแพทย์วิถีธรรมชาติ
อาจารย์เป็นตำราเดินได้ ในอดีตอาจารย์ต้องทำงานหนักทั้งงานราชการ คลีนิค และครอบครัว ต้องตื่นตีห้าและเข้านอนห้าทุ่ม ส่งผลให้เกิดโรคเครียด กระเพาะอาหาร ภูมิแพ้ และความจำไม่ดี พออายุ 40 ปี จึงลาออกจากราชการ แล้วไปเรียนการแพทย์วิถีธรรมชาติจากออสเตรเลีย นับจากนั้นไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย ปัจจุบันอาจารย์มีความสุขมาก ๆ และหน้าตาดูดีกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก
ทำอย่างไรให้สุขภาพดีไม่เจ็บป่วย
สุขภาพ คือภาพแห่งความสุข ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใสเบิกบาน อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
อาหาร คือแหล่งพลังงานของชีวิต การรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย และอายุยืน จะต้อง กินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดา และอาหารเย็นอย่างยาจก ดังนั้น อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด
อนุมูลอิสระ (Free radical) การรับประทานอาหารจะเกิดของเสียที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ หรือเรียกว่าประจุวิ่งหารัก หรือประจุขาดรัก วิ่งไปทั่วร่างกาย อวัยวะที่เล็กที่สุดในร่างกายคือ เซล เซลประกอบด้วย ผนังห้อง และแกนกลางเรียกว่า นิวเคลียส หรือ DNA นิวเคลียสเป็นพิมพ์เขียวที่ทำหน้าที่สร้างเซลใหม่ ส่วนอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายผนังห้องและนิวเคลียส ทำให้เซลเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่างกายเราจะมีระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดี ภูมิคุ้มกันจะถูกทำลาย ทำให้เกิดมะเร็งและโรคต่าง ๆ
อาหารเช้า ควรรับประทาน คาร์โบไฮเดรท วิตามินบี และซี ถ้าไม่กินมื้อเช้าชีวิตจะเริ่มต้นด้วยความเป็นกรด (แลคติกแอซิค) ยกเว้นเรามียาวิเศษคือ การหัวเราะ เพราะขณะหัวเราะร่างกายจะเปลี่ยนเป็นด่าง หัวเราะ 1 ครั้ง อายุยืน 5 วินาที อาหารเช้าที่ต่อต้านความเครียดในการทำงานได้แก่ วิตามินบี และซี ซึ่งไม่มีการเก็บสะสม เพราะละลายในน้ำได้หมด มื้อเช้าที่เร็วและง่ายคือ กล้วยหอม 1 ลูก + ส้ม 1 ลูก + นม 1 กล่อง (หรือ HOT CHOCOLATE) ในกล้วยหอมมีแมกนีเซียม และโปตัสเซียม ในส้มมีวิตามินซี โดยเฉพาะกากส้มขาว ๆ มีเส้นใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายในน้ำ จึงดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป กากส้มมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ในนมมีสารทริบโตเฟน ทำให้กระปรี้กระเปร่า และ อารมณ์ดี
-2-
อาหารกลางวัน กินอะไรก็ได้ที่ชอบ เช่น แกงเขียวหวาน ขาหมู ก๋วยเตี๋ยว แต่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คือ น้ำตาล และน้ำมัน
อาหารเย็น ต้องกินพืชผักและผลไม้ เพื่อให้ได้ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความแก่ มื้อเย็นง่าย ๆ เช่น ผัดผัก 1 จาน + ส้มตำ 1 จาน + น้ำผลไม้ 1 แก้ว กินผักผลไม้วันละ ½ กก. จะทำให้แก่ช้า หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สี แก้วละสี หรือผสมกันก็ได้
คาร์โบไฮเดรท ทำหน้าที่ให้พลังงาน มีมากในแป้ง ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วิธีกินคาร์โบไฮเดรทไม่ให้อ้วน คือกินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม ที่เหลือเก็บไว้กินในมื้อต่อไป
วิตามินบี มีมากในธัญญพืช ลูกเดือย ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้
โปรตีน มีมากในเนื้อสัตว์ อายุเกิน 35 รับประทานโปรตีนพอประมาณ ถ้ามากจะทำให้ดูดซึมแคลเซียมไม่ดี เกิดโรคกระดูกผุ สัตว์ใหญ่ก่อนตายจะหลั่งสารแอดรีนาลิน (สารทุกข์) ในกระแสเลือด จึงไม่ควรกินเลือดสัตว์ ให้เปลี่ยนไปกินปลาแทน เพราะย่อยง่ายและมีไขมันชั้นดี ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด แก้มปลามีแคลเซียมมากกว่าส่วนอื่น ควรกินปลาสัปดาห์ละ 3 มื้อ อย่ากินทุกมื้อ เพราะจะทำให้เลือดออกไม่หยุด ชาวเอสกิโมโดนมีดบาดเลือดจะออกไม่หยุดเพราะกินปลาทุกมื้อ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกิน Fish oil เพราะอาจทำให้ตกเลือด
แคลเซียม ในวัยทองต้องการแคลเซียมวันละ 1200-1500 มก. และควรกินปลาเล็กปลาน้อยเพื่อให้ได้แคลเซียมเพียงพอ
ผักขมฝรั่ง (spinach) มีธาตุสังกะสี เหล็ก และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้นไม้ที่มีเปลือกจะมีสารต่อต้านสิ่งแวดล้อมภายนอก เพราะต้นไม้อยู่กับที่ วิ่งหนีมลพิษไม่ได้ จึงมีเปลือกเพื่อป้องกันมลพิษ
น้ำตาล ต้องไม่ขัดสี เช่นน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลกรวด น้ำตาลทรายขาวมีสารขัดขาว ซึ่งเป็นสารเร่งความเครียด เป็นอันตรายต่อสุขภาพ น้ำตาลเทียมดีกว่าน้ำตาลขัดสี แต่รสชาดไม่ดี
ความจำเป็นในการกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ
ถ้าวัยหนุ่มสาว ควรกินให้ครบ 3 มื้อ แต่ถ้าวัย 35 ขึ้นไป และวัยทอง ควรมีอาหารว่าง (snack) ที่ให้พลังงานไม่มาก กินหลายมื้อได้แต่ครั้งละน้อย ๆ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย ข้อควรคำนึงคือ
กินอย่างอารมณ์ดี เช่นกินกับคนที่เรารัก กินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด นึกถึงแต่ความสุข ถ้ากินมื้อละ 15 นาที 3 มื้อ ก็เท่ากับเรามีความสุข 45 นาทีแล้ว และกินอย่างมีน้ำใจ นึกถึงชาวนาอย่ากินทิ้งกินขว้าง กินพอประมาณ อิ่มแล้วเลิก

วิธีดื่มกาแฟ
- ต้องไม่ใช้ครีมเทียม เพราะครีมเทียมคือน้ำมันมะพร้าว ทำให้มันจุกอกตาย กาแฟ 3 อิน 1 ไม่ดี เพราะผสมครีมเทียม กาแฟมีอะโลม่า ดื่มแล้วอารมณ์ดี การไหลเวียนของเลือดดี
วิธีชงกาแฟ ใส่กาแฟ ½ แก้ว เติมนมอุ่น (Low fat) ½ แก้ว และน้ำตาล
วิธีดื่มกาแฟที่ดีที่สุดต้องไม่ใส่อะไรเลย กาแฟเอสเปรสโซ่ดื่มรวดเดียวหมดจะหวานกว่าจิบทีละนิด ดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 3 แก้ว ถ้าเกินจะดึงแคลเซียมจากไต
การพักผ่อน หลักการคือ ต่อสู้ (fight) และบินหนี (flight)
1. หนีความจำเจซ้ำซาก เช่นเที่ยวทุก 1 เดือน หรือเปลี่ยนทรงผมใหม่ มีคำกล่าวว่า เปลี่ยนที่ (สถานที่) ได้ห้า เปลี่ยนหน้า (ใบหน้า ,ทรงผม) ได้สิบ
2. มองโลกในแง่ดี เช่น มีน้ำ ½ แก้ว ต้องมองว่ายังเหลือน้ำอีกตั้ง ½ แก้ว ไม่ใช่น้ำหมดไปแล้วตั้ง ½ แก้ว อีกกรณีคือภรรยาของอาจารย์จะไม่ให้ความสำคัญที่จะต้องทราบว่าในแต่ละวันอาจารย์จะอยู่ที่ไหน ขณะเดียวกันอาจารย์เป็นฝ่ายต้องทราบว่าภรรยาอยู่ที่ไหนเพื่อกลับมาทำหน้าที่เทคแคร์ภรรยา ให้ทัน กรณีนี้ภรรยาจะไม่เกิดความทุกข์กังวลในการสอดส่องสามี
3. Second job นอกจากงานหลักเพื่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัวแล้ว ควรมีงานรองอย่างที่ 2 ที่เราชอบ ที่เราไม่คิดว่าเป็นงาน ทำแล้วมีความสุข เช่น เขียนหนังสือ สอนหนังสือ หรือบรรยาย
การนอนหลับสนิท จะทำให้เกิดเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสาร antioxidant ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ปัจจุบันเมลาโทนินที่มีขายอยู่จะออกฤทธิ์เพียง 6 นาทีเท่านั้น แต่ร่างกายเราต้องการ 6 ชม.
การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือการอยู่เฉย ๆ อยู่กับตัวเอง อย่าให้งานและสังคมมายุ่งเกี่ยว ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง จิบชา ล่องเรือ ฟิตเนส หรือสปา การออกกำลังกายก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง
สรุปคำถามคำตอบ
1. วันหยุดสุดสัปดาห์ ดื่มเหล้าเบียร์ได้หรือไม่
ได้นิดหน่อย อย่าดื่มให้เมา ดื่มกินอย่างคนฝรั่งเศสคือ กินน้อยอายุยืน(eat less live more) คนฝรั่งเศสจะจิบไวน์เพียงเล็กน้อยก่อนอาหาร และทานเนื้อสัตว์ชิ้นบาง ๆ ในขณะที่คนอเมริกันดื่มไวน์แก้วใหญ่ ๆ และกินเนื้อสัตว์ติดมันหนาชิ้นโต ๆ
2. นมกับน้ำเต้าหู้อะไรดีกว่ากัน
คนไทยประมาณ 1/3 หรือ 30% ไม่มีสารย่อยสลายนม ถ้าดื่มนมไม่ได้ให้กินโยเกิร์ตแทนเพราะมีประโยชน์โดยเฉพาะผู้หญิง ใช้ทาหน้าทำให้หน้าตึง และมีแลคโตไบซิไลท์ เข้าไปอยู่ในทางเดินอาหารและช่องคลอด ช่วยย่อยและไม่ติดเชื้อราที่ช่องคลอด
น้ำเต้าหู้สกัดจากถั่วเหลือง มีฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน ยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมและมดลูก แต่น้ำเต้าหู้ไม่มีแคลเซียม ต้องกินเต้าหู้แข็งจึงได้แคลเซียม เต้าหู้ยิ่งแข็งยิ่งมีแคลเซียมสูง
3. แก้วมังกรทำให้เป็นมะเร็งหรือไม่
ไม่น่าจะใช่ ยังไม่เคยอ่านเจอ แก้วมังกรมาจากเวียดนาม มีไฟเบอร์สูง แคลอรี่ต่ำ ควรฟังหูไว้หู อย่าตระหนกเกินกว่าเหตุ วิธีแก้กินแก้วมังกรน้อยลง เพิ่มฝรั่งและแอปเปิ้ลแทน
4. ฮอร์โมนเพศหญิงในวัยทองทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่
เป็นเพียงผลงานวิจัยของอเมริกาเท่านั้น โดยทำการทดลองกับกลุ่มหญิงที่เป็นโรคหัวใจ อ้วน และหน้าอกโต ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอยู่แล้ว โดยการให้ฮอร์โมนอยู่ชนิดเดียว ขนาดเดียว เกิน 5 ปี พบว่าปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 0.25%
5. อาหารตัดต่อพันธุกรรม (GMO) มีอันตรายหรือไม่
ให้คิดง่าย ๆ กว่า GMO จะออกฤทธิ์กลายพันธ์ในคนได้ เราก็ตายก่อน
6.โยเกิร์ตและสมูทตี้
หลักการของสมูทตี้ คือต้องการไฟเบอร์ไปช่วยดูดพิษ แต่โยเกิร์ตมีแลคโตไบซิไลท์อย่างเดียว ไม่มีไฟเบอร์ วิธีทำง่าย ๆ คือ โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + กล้วยหอม
7. การนอนให้ได้ประโยชน์
ควรนอนก่อน 4 ทุ่ม ในห้องที่ตกแต่งเหมือนโรงแรม มีม่านติด 2 ชั้น เพื่อป้องกันแสง ให้ตื่นมาเพราะถึงเวลาตื่น ไม่ใช่เพราะแสงแดดแยงตา ในขณะที่เราหลับในความมืดระบบฮอร์โมนจะทำงานปกติ การนอนในห้องที่มีแสงไฟ ไม่ดีเพราะฮอร์โมนจะสร้างในความมืดในขณะที่เรานอนหลับสนิท การงีบในตอนบ่ายดีในแง่ทำงานได้ดีขึ้น
8. ออกกำลังกายตอนไหนดี
เวลาไหนก็ได้ที่เหมาะสมกับเราที่สุด อย่ายึดมั่นถือมั่นแล้วเราจะมีความสุข ตัวเราเองรู้เอง ออกกำลังกายวิธีไหนก็ได้
ออกกำลังกายตอนเช้า ได้แสงแดดตอนเช้า ได้วิตามินดี กระดูกหนาขึ้น อาหารเช้าจะต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการออกกำลังกายได้ พอหายเหนื่อยให้อาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะทำให้กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉง ทำงานได้ดี
ออกกำลังกายตอนเย็น ภรรยาของอาจารย์ชอบออกกำลังกายตอนเย็น โดยมีอุปกรณ์ เช่นไม้ไว้ตีสุนัข ทำให้กระดูกแขนไม่บาง ไม่โดนแสงแดด แต่การออกกำลังกายทำให้เกิดอนุมูลอิสระ วิธีแก้คือดื่มน้ำผลไม้สด 1 แก้ว ก่อนและหลังออกกำลังกาย จะต้านอนุมูลอิสระได้ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายตื่นตัวจึงควรอาบน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และหลับสบาย
9. น้ำมันประกอบอาหารชนิดไหนดี
น้ำมันมี 2 ชนิด คือชนิดกรดไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันหมู วัว ไม่ควรกินเพราะไขมันจะไปอุดตามเส้นเลือด และชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก (ทนความร้อนได้ดีที่สุด) ทานตะวัน ข้าวโพด
ฟักทอง ถั่วเหลือง ถ้าอยากให้หอมเมื่อปรุงอาหารเสร็จปิดไฟแล้วค่อยใสน้ำมันงา เพราะเป็นน้ำมันที่ไหม้ง่าย
10. พืชกับนมจากสัตว์อย่างไหนมีธาตุเหล็กมากกว่า
นมจากสัตว์มีธาตุเหล็กมากกว่า นมแพะ นมจามรีดีกว่านมวัวเพราะไขมันน้อยแต่ไม่ค่อยอร่อย นมวัวอร่อยแต่มีไขมันมากที่สุด วิธีแก้ดื่มนมวัวแบบพร่องมันเนยแทน
11. การทำดีท็อกซ์
หลักการคือนำกากอาหารใส่ในลำไส้ เช่น กาแฟ เพื่อทำให้สารพิษออกมา เสียเงินและทรมาน ควรทำดีท็อกซ์แบบชาวบ้านคือ กินมังสวิรัติสัปดาห์ละ 1 วัน อาจารย์จะดีท็อกซ์ทุกวันเสาร์โดยไม่กินเนื้อสัตว์ แต่จะต้มจับฉ่ายใส่เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ และเห็ดหลาย ๆ ชนิด ใส่ผักขม คะน้า ไชเท้า กวางตุ้ง ใส่น้ำมันงา และพริกไทยดำ โดยกินให้หมดภายใน 1 วัน
12. กินกาแฟแล้วนอนไม่หลับ
วิธีแก้คือกินกาแฟ และนมอุ่น ๆ หรือกินกาแฟ + กล้วยหอม + เนยมาการีน หรือกินกาแฟ ดีคาแฟอีน(กาแฟที่มีแต่กลิ่น) เพราะเราติดที่กลิ่น
13. นมเย็นกับนมอุ่นอย่างไหนดีกว่ากัน
สารอาหารเท่ากัน แต่นมอุ่นดีกว่า (55 องศา C) เพราะแตกตัวได้ทริบโตเฟน ทำให้อารมณ์ดี นมเย็นจะไม่แตกตัว วิธีอุ่นนม ให้เอาน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปเข้าไมโครเวฟจนร้อนแล้วค่อยเอานมใส่
14. ผักผลไม้สดกับน้ำผักผลไม้คั้น
ดีทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าผักผลไม้สดต้องกินเป็นจำนวนมากเป็น กก. ถึงจะได้สารอาหารเพียงพอ แต่ถ้าคั้นเป็นน้ำ ดื่มเป็นแก้วพอไหว
15. อาหารรักษาโรคข้อ
ใช้ เซลารี่ 4 ก้านใหญ่ + แอปเปิ้ลหรือฝรั่ง + แครอท นำมาแยกกากดื่มวันละ 1 แก้ว ทุกวัน จะแก้โรคข้อ เข่าจะไม่เจ็บไม่ปวด หรือนำเซลารี่ไปผัดกับกุ้ง แต่ต้องกินให้ได้ 4 ก้านใหญ่ จึงจะเพียงพอ ดังนั้นนำไปแยกกากดีกว่า เซลารี่จะมีสรรพคุณแก้ปวดบวม แอปเปิ้ลหรือฝรั่งมีวิตามีซีช่วยเรื่องน้ำในข้อ ส่วนแครอทช่วยในเรื่องเยื่อเมือก
16. น้ำผลไม้แบบกล่อง
แทบจะไม่ได้สารอาหาร นอกจากกลูโคส ควรคั้น (แยกกาก) เองสด ๆ ดีที่สุด แล้วดื่มทันที จะได้คุณค่ามาก หากต้องการดื่มแบบเย็น ให้นำน้ำแข็งใส่กาละมัง ใส่น้ำ แล้วนำผลไม้ลงไปล้างแล้วค่อยมาคั้น หรือนำแก้วเปล่าและผลไม้ไปแช่เย็นก่อนน้ำมาคั้นก็ได้
17. วิธีทานกล้วยหอมไม่ให้ลมขึ้น
ให้กินกล้วยห่าม ๆ จะไม่หวานและได้คาร์โบไฮเดรท ถ้าดิบหรือสุกเกินไปจะได้แต่น้ำตาล
18. การปั่นกับการแยกกาก (คั้น)
การปั่นเป็นการตีให้แตก จะทำให้สารอนุมูลอิสระออกมา ไม่ดี แต่การแยกกาก เป็นการแยกน้ำและแยกกากออกจากัน ได้คุณค่ามากกว่า แต่การแยกกากจะไม่ได้ไฟเบอร์ ถ้าต้องการไฟเบอร์ให้เอากากมาปั้นเป็นก้อนกินชดเชยได้
19. น้ำโซดาล้างท้องได้หรือไม่
โซดาเป็นน้ำด่าง มีข้อดีคือ ถ้าในท้องมีกรดมาก โซดาจะทำให้เกิดความสมดุลและสบายท้อง แต่ถ้าท้องมีแก๊ส โซดาจะทำให้ท้องอืด ถ้ากินแล้วสบายดีก็กินต่อไปได้
20. อาหารที่กินแล้วผมไม่หงอก
ไม่มี ถ้าอยากหายต้องใส่วิก ผมหงอกเกิดจากกรรมพันธุ์ และความเครียด อาหารและแร่ธาตุที่ช่วยให้ผมหงอกช้าได้แก่ วิตามินบี และซี สังกะสี (zinc) แต่ควรกิน zinc อะมิโน ครีเรท อย่ากินzinc ซัลเฟรด เพราะกัดกระเพาะ หรือกินอาหารเสริม เช่น เซ็นทรัม แบลคมอร์ จะช่วยให้เส้นผมดำขึ้น
21. การย้อมผมกับมะเร็ง
การย้อมผมทำให้บุคลิกดีขึ้นมีความสุข เลือกใช้ยาย้อมผมที่ไม่มีโลหะหนักผสม เช่น ตะกั่ว ถ้าไม่มีสารตะกั่วก็ไม่เป็นไร อาจารย์ก็ย้อม เวลาย้อมให้ปิดตาและจมูกให้ดี อาจใช้แบบสเปรย์ก็ได้
22.ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร
สมุนไพร (HERB) คือพืชผักผลไม้ จึงมีคุณค่าทางยาแล้วแต่ชนิด เช่น เครนเบอรี่ หรือกระเจี๊ยบ จะมีสรรพคุณทางยาช่วยเรื่องการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ หรือนิ่วในไต
23. ตำราอาหารสำหรับผู้ชาย
กินกล้วย + น้ำผึ้ง + พริกไทยดำ จะทำให้หลับสบาย ถ่ายสะดวก ถ้าผู้ชายทานต่อเนื่อง 6 เดือน จะเห็นผลบางอย่างแล วิธีทำใช้กล้วยน้ำว้าหรือกล้วยหักมุกผึ่งแดดเดียว แล้วโรยน้ำผึ้งและพริกไทยดำ

Credit : http://heyhaparty.blogspot.com